วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ไอซ์แลนด์ Lesson 5

ไอซ์แลนด์....ด้วยความที่เป็นแผ่นดินใหม่  จึงทำให้ผืนดิน
ยังคงปกคลุมด้วยทุ่งลาวาที่ยังไม่ย่อยสลายทั่วไปทั้งเกาะ
การอยู่อาศัยก็เรียงรายตามแนวชายฝั่งรอบๆ

ส่วนกลางของประเทศยังคงปกคลุมด้วยเถ้าลาวา และบาง
ส่วนยังมีธารน้ำแข็งปกคลุมหลายแห่ง ที่ใหญ่ที่สุดนั้นชื่อ
Vatnajökull (วัคน่าโยกุตส์) รองลงมา คือ Hofsjökull
(ฮอฟส์โยกุตส์) และ Langjökull (ลังก์โยกุตส์) ซึ่งกินเนื้อ
ที่บนที่ราบสูงกลางเกาะไอซ์แลนด์ด้านใต้นั่นเอง....

และนี่คือจุดเริ่มต้นความคิดในการค้นหาเสน่ห์ของการเดิน
ทางท่องเที่ยวแบบ adventure สำหรับธรรมชาติแบบหนาวๆ
ในดินแดนขั้วโลกเหนือ...



ทริปนี้เกิดจากการได้ซัมเมอร์ฟรี...ในช่วงต้นซัมเมอร์ปีหนึ่ง  
อุปกรณ์การทำอาหาร ทั้งหม้อ ครก เตา เต้นท์ ก็ลงไปนอน
สงบนิ่งอยู่ท้ายรถเชฟกันโต  รอเวลาเดินทาง แต่คราวนี้มี
แปลกประหลาดขึ้นมา คือเจ้าถังน้ำมันพร้อมสายยาง...

เฮ้ย...มันลำบากขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย....ไม่เป็นไร...พาเที่ยว
กันหลายที เชื่อใจกันอยู่แล้ว

หากเมื่อฟังแผนการเดินทางคราวนี้ ถึงกับตาลุกวาวกันทีเดียว
เพราะจะพาผ่าไอซ์แลนด์จากแนวใต้ขึ้นเหนือ นั่นหมายถึงเรา
จะได้เที่ยวบนไฮแลนด์ ที่คิดตลอดมาว่า....มันจะเป็นยังไง....
เพราะแม้แต่ชาวไอซ์แลนด์ที่อยู่ในแวดวงคนรู้จัก ยังไม่มีใคร
เคยได้เที่ยวในเส้นทางนี้มาก่อนเลย....



เราหมุนล้อตั้งแต่ เจ็ดโมงเช้าจากเมืองหลวงมุ่งลงใต้ โดยผ่าน
เทือกเขาใหญ่ที่บนเขาลูกนี้จะมีโรงเจาะน้ำร้อนเพื่อนำไปใช้ใน
เมืองโดยส่งไปตามท่อขนาดมหึมาพอสมควร....


ที่เห็นเป็นควันพวยพุ่งคือ แหล่งน้ำร้อนธรรมชาติที่มีท่อส่งเข้าเมือง


น้ำร้อนที่ใช้อยู่ในไอซ์แลนด์เป็นน้ำธรรมชาติค่ะ....เมืองแรกที่
ลงจากเขาไปเจอคือ...เมืองระริกระรี้...อย่าตกใจ ชื่อจริงๆ เค้า
Hveragerði น่าจะอ่านประมาณ เควราเกอดี้...แต่ อาจารย์
กาญจนา แห่ง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร  
ท่านได้นิยามชื่อหลังจากที่ดิฉันขานชื่อนี้ให้ท่านฟัง ท่านว่ามัน
ยากเนอะ แล้วก็เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเป็นแบบไทยๆ ให้เสร็จ...
(นำคณะของ อ.เที่ยวทะเลสาบน้ำแข็ง กราเซียลากูน ซึ่งต้องผ่าน
เส้นทางนี้) ได้เสียงเฮฮากันอย่างมากมาย  สำหรับเมืองนี้จุดขาย
อยู่ที่ อีเดน เป็นที่ปลูกและขายต้นไม้อันเลื่องชื่อ...แม้แต่ไมยราพ
ยังมีขายเลยค่ะ...

เมืองนี้ช่วงลงเขาเราจะพอมองเห็นว่ามีควันลอยจากพื้นดินประปราย
ก็ไม่ใช่อะไรค่ะ นอกจากสายน้ำร้อนใต้ดินเยอะมาก และเป็นสาเหตุ
หนึ่งให้เมืองนี้ปลูกพืชพันธ์ไม้ได้ดี เพราะความอบอุ่นจากพื้นส่งขึ้น
มานั่นเอง....

เราเดินทางผ่านเควราเกอดี้ ผ่านเมืองเซลฟอร์ด (Selfoss)  แล้ว
วกรถขึ้นเหนือโดยผ่านภูเขาไฟที่มีชื่อเสียงอีกลูกหนึ่งของประเทศ
คือ Hekla ซึ่งทุกๆ รอบสิบปีเค้าจะระเบิดและพ่นหินชนิดหนึ่งที่ลอย
น้ำได้ และเป็นสินค้าที่ทางประเทศเยอรมันจะสั่งซื้อไปแปรรูปอีกที.......

คุณโยเซฟบอกว่า เส้นทางนี้จะให้ดีควรใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น
และควรเป็นรถที่สูง ด้วยเส้นทางที่เราเดินทางจะผ่านที่ราบสูงอันแรก
ชื่อ Sprengisandur ที่อยู่ระหว่างเขาธารน้ำแข็งสองลูก ฝั่งซ้ายชื่อ
Hofsjökull ส่วนฝั่งขวาเป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดของไอซ์แลนด์
และยุโรป ชื่อ Vatnajökull  ซึ่งทำให้เกิดลำห้วยหลายสายที่รถจะต้อง
ข้ามผ่าน  

ถ้าเป็นหน้าร้อนตอนปลายๆ น้ำอาจจะสูงขนาดท่วมถึงกระจกรถคันเล็กๆ
กันเลย  แต่เผอิญช่วงที่เราไปเป็นเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงซัมเมอร์
ตอนต้น ...เฮ้ออออ โล่งอกไปหน่อยเพราะแน่ใจว่าจะไม่เจอน้ำสูงๆ  
นอกจากนั้นเส้นทางนี้จะไม่มีบ้านเรือนคนเลยตลอดเส้นทาง แล้วไม่
ค่อยมีคนเดินทางท่องเที่ยวสายนี้ซะด้วย ถ้าไม่ใช่พวกที่ชอบจริงๆ ....

หนทางที่ผ่านสายตามาระยะหนึ่ง เป็นจริงอย่างที่คุณโยเซฟบอก
ไม่มีผิด ไม่มีบ้านเรือน ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า วินาทีที่รถวิ่งไป มีเพียงถนน
ลูกรัง มองสุดลูกหูลูกตาด้วยแนวเนินเขา สูงๆ ต่ำๆ สลับกันไป สีสรรที่
เห็นจะเป็นเพียง สีดำของเถ้าลาวาที่กำลังเปลี่ยนเป็นทราย สลับกับสีดิน
ปนทรายหยาบๆ และก้อนหินระเกะระกะลูกตา เวิ้งว้างเสียจริงเชียว....



แนวทิวเขาสูงตระหง่านอยู่ลิบๆ ฉาบด้วยสีขาวของหิมะที่หลงเหลืออยู่  
ไกลออกไปสองข้างทาง จะมองเห็นยอดเขาที่ปกคลุมด้วยธารน้ำแข็ง
(gracia)  หรือที่ภาษาท้องถิ่นเรียกว่า โยกุตส์ (jökull) มองดูสวยงาม....
เราได้ผ่านลำห้วยสองแห่ง แล้วรถก็หยุดลง...หันไปมองหน้าโยเซฟด้วย
ความสงสัย...



"มีไรคร๊าบบบบบบบบบบ"

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่ริมฝีปาก เขากระโดดลงจากรถแล้วพยักหน้า
ให้สัญญาณว่าตามมา...ในใจนึกว่า แกจะพาฉันตากแดดตัวดำไปไหนเนี่ย
ไม่เห็นมีอะไรให้น่าชมเลย นอกจากหินและก้อนกรวด...แต่อิฉันก็เดินตาม
เจ้าฝรั่งขายาว โดยใช้สปีดขาสั้นๆ ซอยเท้าเกือบจะเป็นวิ่งตามไป

ระยะทางพอสมควรแก่การกลายร่างเป็นสุนัขหอบแดดได้เลย ...และพอ
โผล่พ้นจากแนวหินสูงๆ ที่เกะกะสายตาอิฉันก็พบว่า...

มันคือน้ำตกค่ะ...สวยมากทีเดียว ดูตามรูปการณ์ก็คงเกิดจากการละลาย
ตัวของธารน้ำแข็ง เพราะสังเกตุได้จากสีน้ำ หากเป็นน้ำธรรมดาจะใสแวววาว
หากเป็นน้ำที่มาจากธารน้ำแข็ง น้ำจะเป็นสีขุ่นข้น เนื่องจากปริมาณน้ำที่
ละลายจะมากและกัดเซาะดินหินรายทางเป็นระยะทางค่อนข้างไกล....


ก้อนหินที่เรียงรายเป็นผนังอยู่ฝั่งตรงข้ามช่างแปลกตา ราวปฎิมากรรมที่มี
คนมาสร้างเอาไว้...เหมือนเอาเสามาเรียงในแนวตั้งเพื่อเป็นเขื่อนสองฝาก
ให้น้ำไหลผ่าน เหนือเสาหินเหล่านั้นก็ยังเป็นลวดลายแปลกตาน่าค้นหา  
ธรรมชาติช่างสร้างสรรได้วิจิตรบรรจงยิ่งนัก....

อิฉันยืนดูอย่างตะลึงอยู่พักใหญ่ เรียกว่าลืมความเหน็ดเหนื่อยเมื่อสักครู่
เสียสิ้น  ก่อนที่เท้าจะก้าวออกเดินมุ่งหาสายน้ำเส้นนั้นอย่างไม่รู้ตัว....

นี่คือธรรมชาติหรือนี่ ธรรมชาติที่ซ่อนสายตาผู้คน ธรรมชาติที่น้อยคนนัก
จะได้มาเห็น...โชคดีจริงๆ เลยเรา ...นาม .Aldeyjarfoss ที่คุณโยเซฟบอก
ถึงชื่อเสียงเรียงนามของน้ำตกที่แสนสวยทำให้อิฉันต้องหยิบสมุดบันทึกเล็กๆ
ขึ้นมาเขียน พร้อมทั้งทำเครื่องหมายในแผนที่ให้เรียบร้อย เผื่ออนาคตที่
แสนนานอิฉันอาจจะลืมเลือนมันเสีย....





ใช้เวลากลางแดดอยู่นานโข เพื่อบันทึกภาพที่ไม่รู้ว่าในช่วงชีวิตจะมีโอกาส
ได้กลับมาเยี่ยมเยียนเธออีกหรือไม่...แต่คงจะมีอีกหลายๆ อย่างให้อิฉันควร
จะได้ชม ว่าแล้วคุณโยเซฟก็ฉุดกระชากความนึกคิดให้มุ่งหน้าหารางวัลชีวิตต่อไป.....



เรายังคงวิ่งอยู่บนที่ราบสูงของเกาะไอซ์แลนด์ มองไปทางไหน
ก็ให้เวิ้งว้างเห็นมีมอสหญ้าขึ้นประปรายเป็นกระจุก คุณโยเซฟเล่า
ให้ฟังว่า ทางการได้นำเมล็ดพันธุ์พืชชนิดหนึ่ง ชื่อ ลูบริน่า   มา
จากอลาสก้า โดยนำขึ้นเครื่องบินเล็ก บินโปรยทั่วเกาะไอซ์แลนด์

ในหน้าร้อนพืชชนิดนี้จะงอก ออกดอกเป็นสีม่วง เหมือนพรมคลุม
อยู่ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นบนเขาหรือพื้นราบ เมื่อหมดร้อนต้นจะเหี่ยว
เฉาตายและจะกลายเป็นปุ๋ยธรรมชาติ เพื่อย่อยสลายเม็ดทรายให้
กลายเป็นดินต่อไป

แต่ธรรมชาติก็คือธรรมชาติ บนที่ราบสูง เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ยังเอาชนะ
ไม่ได้ด้วยความแห้งและร้อนแรง บางส่วนยังคงเห็นเป็นทะเลทรายสีดำ
ขอย้ำว่า ดำจริงๆ ค่ะ เพราะมันคือเถ้าของลาวาใหม่ๆ  อย่างที่อิฉันบอก
ไว้แต่แรกล่ะค่ะว่าที่นี่เป็นแผ่นดินใหม่ที่สุดของโลก  







ทะเลทรายดำนี้กินเนื้อที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาทีเดียว  พ้นจากทะเล
ทรายสีดำ ก็เป็นพื้นดินลูกรังสูงๆ ต่ำๆ บางแห่งเป็นที่ราบเวิ้งว้าง นั่งรถ
ผ่านไปก็เกิดความคิดว่า....ไอ้สมัยเด็กๆ ที่อิฉันเห็นเค้าเอากระสวยอวกาศ
ไปดวงจันทร์ เค้ามาลงที่นี่แล้วตู่ว่าเป็นดวงจันทร์หรือเปล่าหว่า ...คิดได้
อย่างไรเนี่ย....555


ฮาๆ กับท่าทางของเราจริงๆ


บนไฮแลนด์นี่เราต้องผ่านภูเขาลูกหนึ่งที่แปลกตา เพราะโยเซฟเล่าว่าด้าน
บนที่เห็นเป็นสีขาวนั้น ไม่ใช่สโนว์ที่ปกคลุมอยู่ แต่มันคือธารน้ำแข็งที่
เกาะตัวอยู่ที่ปล่องภูเขาไฟ  จู่ๆ วันหนึ่งภูเขาไฟก็ปะทุ แต่อาจจะด้วยอานุภาพ
ไม่รุนแรง จึงแค่ดันเจ้าธารน้ำแข็งที่ว่านี่ปูดขึ้นมา ทำให้มองไปเหมือนเอา
ระฆังมาวางไว้....วันที่อิฉันไป บรรยากาศเหนือเขาลูกนี้ไม่ใส ภาพที่ถ่าย
จากระยะไกลจึงไม่ชัดเจนนัก...เขาลูกนี้ก็อยู่ในโปสการ์ดที่ระลึกของไอซ์แลนด์
ด้วยคร้า



ที่สุดก็ต้องแวะเติมน้ำมันที่ได้เตรียมมาจริงๆ ซะด้วย....เพิ่งรู้ว่าเจ้ารถเชฟ
ของเมกานี่มันซดน้ำมันมากกว่าเราซดน้ำระหว่างเดินทางซะอีก กินเก่ง
จริงๆ แค่ครึ่งทางกว่าๆ เอง เธอฟาดซะหมดเรียบเกลี้ยงถังเลย .....เราหยุด
รถและกระโดดลงไปถ่ายรูปความเวิ้งว้างเป็นระยะๆ  และโดยไม่รู้ตัว เราก็พ้น
จากถนนสาย off road สายนั้น วิ่งเข้าสู่เส้นทางหลักของประเทศซะแล้ว...


ข้ามลำธารที่เกิดจากการละลายตัวของธารน้ำแข็ง


ฝุ่นตลบบน High Land


เด็กปั้ม


 ใช้เวลาอีกไม่นานนักก็ถึงเมืองเล็กๆ ทางเหนือของประเทศในเวลาทุ่มกว่าๆ
นั่นหมายถึงเราใช้เวลาเดินทางถึง 12 ชั่วโมง จากเมืองหลวง... 

เมืองที่ว่าคือ  Húsavík (ฮูซาวิค) เมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของไอซ์แลนด์  
มีชื่อเสียงในการนั่งเรือชมปลาวาฬมาก....คุณโยเซฟ พาอิฉันไปที่บ้านเกิด
ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ นอกตัวเมืองออกมาทางทิศตะวันตก   เราหาทำเลตั้ง
เต้นท์ ก่อฟืนต้มน้ำ อุ่นอาหารคือข้าวเหนียวกับหมูทอดที่เตรียมมา เพราะรู้ว่า
จะต้องเหนื่อยกับการเดินทางวันแรก





กว่าจะเสร็จสรรพก็ปาเข้าไปสองทุ่มกว่าๆ  อิฉันแปลกใจเรื่องข้าวเหนียวอยู่
อย่างหนึ่งคือ ฝรั่งหลายๆ คนที่รู้จักมักจะชอบกินข้าวเหนียวมากกว่าข้าวจ้าว.....
แต่ไม่ใช่โยเซฟเจ้าไกด์ฝรั่งที่กินอาหารยากจริงๆ  

ด้วยว่าค่ำมืดดึกดื่นแล้ว วันนี้ขอซักแห้งสักวันคงไม่ผิดกติกา....อ๊ะ...อ๊ะ...
เมืองหนาวค่ะ รับรองว่าไม่มีเหงื่อให้เหม็น  และการจะนอนเต้นท์ในเมืองหนาว
แม้จะมีผ้าห่ม ถุงนอน และสารพัดเครื่องกันหนาว แต่โยเซฟก็ยังแนะนำหา
ความร้อนใส่ไปในตัวด้วย แอลกอฮอลล์ยี่ห้อใดก็ได้ 1 แก้วเล็กๆ พร้อมกับผิง
ไฟให้ตัวอุ่นก่อนเสือกตัวเข้าไปในเต้นท์เพื่อให้ทนนอนหนาวได้ตลอดคืน.....

ตื่นเช้าขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์  มันเป็นเช้าที่สดใส....อากาศของไอซ์แลนด์
นั้นนับได้ว่าเป็นโซนที่มีมลภาวะน้อยมาก เมื่อเทียบกับโซนอื่นๆ ในโลกนี้  
จากการจัดอันดับไอซ์แลนด์เป็นเมืองน่าอยู่อันดับต้นๆ ของโลก  และจะเห็น
ได้จากภาพถ่ายที่แม้จะใช้กล้องธรรมดาๆ ก็สามารถดูสวยงาม ชัดเจน ด้วยเหตุ
ที่ไม่มีฝุ่นควันมาเป็นตัวกีดขวาง...
หลายๆ ครั้งที่อิฉันนำภาพให้คนที่เมืองไทยดู มักจะมีคำถามว่า..ใช้กล้องอะไร
ทำไมภาพสวยจัง.....


ทุ่งดอกลูบริน่า

เราวางแผนที่จะไปเที่ยวทะเลสาป mývatn (อ่านประมาณ มีวัค คำว่า วัคในภาษา
ไอซ์แลนด์แปลว่าน้ำ)  เป็นทะเลสาปที่ใหญ่รองจาก þingveller ที่อยู่ไม่ไกลจาก
เมืองหลวงนัก  อันว่ามีวัคนี่ ปีๆ หนึ่ง มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาพักแรมและเที่ยวชม
บริเวณนี้กันอย่างมากมาย ความสวยงามรอบๆ ทะเลสาปนั้น เรียกได้ว่าถ้าจะเอา
แบบละเอียดๆ ละก็สามวันยังไม่พอเลย...

เมื่อย่างเข้าเขตทะเลสาปโดยการเดินทางลงมาจากทิศเหนือนั้น...อิฉันได้เห็นภูเขา
เล็กๆ ที่มีหลุมบ่ออยู่ตรงกลางลักษณะเหมือนหลุมอุกาบาตหลายลูก ดูสวยงาม
แปลกตา  ไกด์มักจะพาลูกทัวร์แวะลงเพื่อซื้อของที่ระลึก  รวมทั้งกาแฟและขนม
นมเนยเพราะมีร้านค้าตั้งอยู่ และบางส่วนก็จะเดินไปชมเจ้าภูเขาลูกเล็กๆ เหล่านี้  
มันเป็นการสร้างสรรของธรรมชาติจากสายลาวาที่อิฉันว่าคงจะมาเดือดพล่านใน
พื้นน้ำบริเวณนี้นับพันปีมาแล้ว  และที่สวยงามแปลกตาถัดมาก็คือ หินลาวาที่โผล่
อยู่กลางทะเสสาป เป็นรูปทรงต่างๆ  

แต่ที่มหัศจรรย์คือ เจ้าลาวาทรงคล้ายประตู 3 แท่งที่วางเรียงห่างๆ กัน ด้วยรูปทรง
เดียวกัน ใหญ่เล็กลดหลั่นกันไป และทราบว่าทั้งสามแท่งนั้นก็มีชื่อเสียงเรียงนาม
เสียด้วย

เนื่องจากเราจะวนที่ทะเลสาปนี้ภายในวันเดียว ก็ได้แต่เพียงเมียงๆ มองๆ จากใน
รถ...ขับไปอีกระยะหนึ่ง จะมองเห็นภูเขาลูกหนึ่งสวยเด่นเป็นสง่า ช่วงยอดเขามอง
เหมือนจะถูกปาดด้วยช้อน และเป็นหลุม ได้ความว่าชื่อ เขา Hverfjall เป็นปล่อง
ภูเขาไฟที่ระเบิดมานานมากแล้ว ถ้าจำไม่ผิดก็เป็นพันๆ ปี ซึ่งส่งเถ้าลาวาจำนวน
มหาศาล คลอบคลุม และเกิดก้อนลาวาแปลกตามากมายในบริเวณนี้นั่นเอง....
เขาลูกนี้อยู่ในโปสเตอร์ที่ระลึกของ มีวัค ด้วย วันที่อิฉันเดินทางไปนั้น มีเมฆหมอก
เยอะ เลยมองดูสวยแปลกตาไปจากที่เห็นในโปสเตอร์เลยแหละ

ไม่ไกลจากทะเลสาปจะมีบ่อน้ำแร่ หรือ Blue lagoon อีกแห่งหนึ่ง
ซึ่งแต่ก่อนก็จะเป็นแอ่งน้ำแร่ธรรมชาติ เผอิญมีนักท่องเที่ยวจำนวน
มาก มักจะแวะและลงเล่นซึ่งบางคนไม่รู้จุดที่อันตรายด้วยเป็นปล่อง
ที่น้ำร้อนขึ้นมา จึงโดนความร้อนลวกร่างกายไปหลายคน ทางการ
จึงได้สร้างอาคารและแบ่งแยกโซนการลงเล่น และสร้างรายได้ให้รัฐ
เหมือนที่บ่อน้ำแร่แห่งแรกโดยเพิ่งสร้างเมื่อไม่นานมานี้เอง....

อีกอย่างการอาบน้ำแร่นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องชำระล้างร่างกายหลัง
จากอาบด้วย เพราะน้ำจะเค็มและอุดมไปด้วยกำมะถัน หากปล่อยให้
เกาะตัวนานๆ สิ่งที่ดีๆ ก็อาจเป็นอันตรายได้เหมือนกัน....



Blue Lagoon สาขา 2


 ออกจากบ่อน้ำแร่ ขับข้ามเขาไปจะพบบริเวณที่มีความร้อนใต้พื้นโลก
บริเวณนี้เรียกว่า Námafjall  พื้นดินจะเป็นสีลูกรังสดๆ  ระบายด้วยสี
เหลือง สีเทา และสีแดง เป็นไฮไลท์  เมื่อเดินไปใกล้ๆ ก็พบว่ามีบ่อ
โคลนเดือด ที่ใหญ่กว่าที่เคยเห็นทางตอนใต้



บริเวณตรงนี้ค่อนข้างกว้าง มีหลุมบ่อของโคลนเดือด และกระแสน้ำ
ร้อนที่พวยพุ่งแต่ไม่ใหญ่พอที่จะเป็นน้ำพุร้อน ....เค้าใช้วิธีเอาก้อนหิน
มาเรียงปิดการพุ่งของน้ำร้อนที่ไร้ทิศทาง และอาจเป็นอันตรายต่อผู้
มาเยือนได้   เมื่อโดนจำกัดซะอย่างนี้ เสียงที่รอดจากร่องก้อนหินที่
วางเรียงประสานกันจึงดังฟู่ฟ่า ประหนึ่งเสียงอสรพิษขู่กันทีเดียว  

บริเวณนี้แม้อากาศจะเยือกเย็นแต่ด้วยความร้อนใต้ผิวโลกที่ระอุผ่านขึ้น
มา ทำให้อบอุ่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ  และนี่กระมังที่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำ
ให้ไอซ์แลนด์ไม่หนาวเย็นอย่างที่คิดเมื่อพูดถึงชื่อประเทศ......

ทราบมาว่าบริเวณนี้เคยเกิดการระเบิดจากแรงดันของน้ำร้อนเมื่อไม่นาน
มานี้   แต่เป็นการระเบิดที่ไม่ใหญ่โตเพียงแค่พ่นเอาก้อนหินใหญ่น้อย
ออกมาโปรยปรายเล่นอยู่ทั่วบริเวณ......และจะบอกว่า บริเวณนี้กลิ่นที่
โชยขึ้นมาพร้อมไอร้อนคือ กลิ่นกำมะถันปนกับกลิ่นโคลน ที่แสนจะรันทด
จริงๆ ....




บ่อโคลน กลิ่นรันทดมาก


คุณโยเซฟขับรถพาอิฉันวกขึ้นเหนืออีกครั้ง แต่ที่นี่คุณโยเซฟบอกว่าควร
จะออกกำลังสักเล็กน้อย  ไม่เป็นไรค่ะ อากาศหน้าร้อนแบบนี้ไม่มีมืด ไม่
ต้องกังวลว่าจะมองอะไรไม่เห็น....หากสิ่งที่ทำให้อิฉันยอมไม่ใช่เพราะ
การนั่งรถจนเมื่อยขบ หากเป็นเพราะคุณโยเซฟบอกว่าจะพาไปดูลานลาวา
ที่ใหม่ที่สุดเพิ่งระเบิดเมื่อ 20 กว่าปีก่อน (น่าจะปี 1984)

ตลอดทางที่เราเดินเข้าไปเป็นหินดำสุดลูกหูลูกตาจริงๆ เพราะมันคือลาวา
ที่เย็นตัวลงแล้ว และทางเดินจะค่อยๆ มีระดับสูงขึ้น เพียงแต่ไม่ใช่การไต่
เขาเท่านั้นเอง พออิฉันรู้สึกว่าเริ่มจะเมื่อยและไม่อยากเดินต่อ  ก็ถึงสถาน
ที่ประทุของลาวาขึ้นมา...

อิฉันแปลกใจมากมายเพราะคิดว่า ภูเขาไฟควรจะเป็นภูเขาสูงอย่างที่เคยๆ
เห็นในทีวี แต่ตรงนี้มันไม่ใช่เลย สถานที่นั้นก็เรียกว่าสูงกว่าส่วนอื่นๆ ของ
พื้นที่ห่างออกไป เพียงแต่ไม่ได้เป็นปล่องอย่างที่เราคิด เป็นเพียงรอยแยก
ที่บางส่วนยังต้องกั้นไม่ให้เข้าใกล้ ยังมองเห็นเหมือนก้อนถ่านแดงๆ และมี
เปลวไฟครุกรุ่นอยู่ในบางจุด

บริเวณนั้นกินเนื้อที่ไม่ได้เป็นกิโลแต่อย่างไร หากคาดว่าตอนที่มีการระเบิด
ของลาวาขึ้นมา คงจะกินเนื้อที่ของปากปล่องพอสมควร เพราะดูจากปริมาณ
ของพื้นที่ดำๆ โดยรอบตัวแล้วกินอาณาบริเวณกว้างสุดลูกหูลูกตาจริงๆ  
และไม่ไกลจากตรงนั้นนัก โยเซฟเล่าว่าจะมีปากปล่องใหญ่ที่เคยเป็นปล่อง
ภูเขาไฟเก่าแก่ เรียกว่า Viti ซึ่งคำนี้ในภาษาไอซ์แลนด์แปลว่า นรก

คาดการณ์ว่า น่าจะเพราะว่าเป็นปล่องที่คงมีลาวาพุ่งอยากมากมายมหาศาล
ก็เป็นได้ กว่าจะวนรอบมีวัคก็หมดวัน...เราไปเสียเวลาในการซื้อกับข้าวที่
ซุปเปอร์มาร์เก็ตในเมืองรวมทั้งอาบน้ำโดยการไปแช่น้ำร้อนที่สระว่ายน้ำ
เพื่อผ่อนคลาย....
วัฒนธรรมการลงสระว่ายน้ำประเทศในแถบยุโรปคงไม่แตกต่างกันนัก  โดย
ก่อนจะลงสระต้องอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดก่อนสวมชุดว่ายน้ำ  แต่ห้อง
น้ำเค้าจะทำแบบห้องน้ำทหารคือ มองเห็นกันหมด...ถ้าคนไทยเราคงจะมีการ
เขินอาย แต่ชาวยุโรปเค้าสามารถยืนอาบน้ำให้เห็นกันแบบไม่มีอายกันเลย

เอ่อ...แต่เค้าแบ่งเป็นชายหญิงนะคะ......ส่วนสระว่ายน้ำก็ไม่ได้มีเฉพาะแบบ
มีลู่ จะมีอ่างสำหรับนวดตัวด้วยแรงน้ำ มีบ่อน้ำร้อนให้ลงแช่หลายบ่อ  ระดับ
อุณหภูมิแตกต่างกันไป  สูงที่สุดถึง 42 องศาเซลเซียส..ตัวจะสุกก่อนไม๊น๊า...

เมื่อกลับถึงแคมป์ อิฉันแค่ปรุงอาหารและจิบแอลกอฮอลล์พร้อมทั้งผิงไฟให้ตัว
อุ่นมากๆ เสียก่อนที่จะไปนอนให้ไอเย็นมาเลียผิวกายตลอดทั้งคืนต่อไป.....

วันรุ่งขึ้นตื่นมาอย่างเร็วด้วยความเหน็บหนาวจนไม่อาจทนนอนอยู่ได้ แต่พอ
โผล่ออกมานอกเต้นท์ก็เข้าใจ ด้วยว่ามีร่องรอยของฝนเพราะพื้นเปียก ( อันว่า
ฝนตกที่ไอซ์แลนด์นั้น เพิ่งมีระยะหลังๆ ที่จะได้เห็นฝนเม็ดใหญ่ๆ.. ช่วงที่มา
อยู่ใหม่ๆ ฝนจะเป็นเพียงละออง ที่ตกหนักจริงๆ จะแค่ตกปรอยๆ ของบ้านเรา
เท่านั้น ) จึงเป็นสาเหตุให้หนาวเย็นจนทนอยู่ไม่ได้...

รีบล้างหน้าแปรงฟันแล้วขึ้นรถเพื่อหาความร้อนจากฮีท  ด้วยว่าฝนหยุดตกแล้ว
เราจึงวางแผนเที่ยวต่อทันทีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา....คุณโยเซฟพาอิฉัน
วิ่งผ่านเมืองฮูซาวิค ไปทางตะวันออก มุ่งหน้าสู่อุทยานที่มีชื่ออีกแห่งหนึ่ง คือ
Ásbyrgi (เอ้าส์ไบรกี้) ว่ากันว่าบริเวณนี้เป็นรอยเท้าม้าของเทพเจ้าองค์หนึ่งที่
เหยียบเทือกเขาจนยุบเป็นรอยเกือกม้า โดยต้องมองจากมุมสูงเท่านั้น ....


มองจากไกลๆ  ไม่มีอะไรโดดเด่นเลย


ปากทางเข้าอุทยานมีร้านโชห่วย ซึ่งเจ้าของร้านนี้มีภรรยาเป็นคนไทย....อิฉัน
ขอแวะเข้าไปอุดหนุนและไปทักทายพูดคุยกันเล็กน้อย

ด้วยว่าช่วงซัมเมอร์คนจะเยอะมาก  ในหุบเขานี้นอกจากทางเข้าแล้ว  รอบด้าน
จะเห็นเป็นหน้าผาสูงชัน ถ้ายืนอยู่ด้านบนก็เหวชัดๆ ...พรรณไม้ใหญ่ที่เห็นก็เป็น
พรรณไม้พื้นเมืองที่ทนทานต่ออากาศ รวมทั้งต้นสนนาๆ ชนิด  หลังจากจอดรถ
และเดินทอดน่องชมธรรมชาติรอบตัว  เข้าไปสุดทางจะเป็นแอ่งน้ำธรรมชาติซึ่ง
มีน้ำผุดจากใต้ดิน ทำให้มีน้ำตลอดปี มีนกและเป็ดน้ำ เป็นบรรยากาศที่น่ารื่นรมย์
เหมาะกับการปิคนิกแบบครอบครัวเหลือเกิน


เมื่อเข้ามาในบริเวณหุบ ทุกด้านเป็นหน้าผาตัดสูงมาก


แท่งหินทรงสามเหลี่ยมเหมือนตัดขนมเค้กเชียว


ออกจากอุทยานนี้เราขับอ้อมวนขึ้นไปด้านบนของหน้าผา เพื่อมุ่งหน้าสู่น้ำตกที่
ใหญ่ที่สุดในยุโรป แต่ก่อนถึงก็จะมีอุทยานให้เดินเที่ยวอีกแห่ง เรียกว่า
Jökulsárgljúfur  บริเวณนี้ประกอบไปด้วยหมู่เสาหิน basalt ที่เกิดจากภูเขาไฟ
มีสีดำ และเนื้อละเอียด เราใช้เวลาในการเดินที่นี่ไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง เพราะเพลิด
เพลินกับการถ่ายรูปกับก้อนหิน เวิ้งถ้ำที่เมื่อมองขึ้นไปบนเพดานก็รู้สึกแปลกตายิ่งนัก  
เพราะเหมือนเอากระเบื้องโมเสดรูปหกเหลี่ยม แปดเหลี่ยม มาปูเต็มพื้นที่ของ
เพดานถ้ำ  และยังมีลวดลายแปลกตาจากการสร้างสรรของธรรมชาติอยู่ในทุกๆ
แผ่นอีกด้วย...  



และจากการชี้ชวน ให้อิฉันแนบหูกับผนังของแท่งหินยักษ์ที่วางอยู่ข้างทางนั้น
จะได้ยินเสียงเหมือนมีโตรกน้ำขนาดใหญ่ไหลอยู่ภายในผนังกำแพงหินนั่นทีเดียว
ทั้งๆ ที่มองบริเวณนั้นโดยรอบก็ไม่มีแม้แต่วี่แววว่าจะมีแม่น้ำไหลผ่าน....

นับเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติจริงๆ เดินไปสักพักจะพบว่ามีหุบเหวลึกอยู่
ด้านหนึ่ง ได้ยินเสียงการเดินทางของน้ำที่รุนแรงมาก สอบถามจากคนที่เดินเคียง
ข้าง ก็รู้ว่ามันคือแม่น้ำ Jökulsá อันเกิดจากน้ำตก Detifoss  อันยิ่งใหญ่และรุนแรง
ที่อิฉันจะได้ไปพบเจอในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้นั่นเอง

อิฉันเดินชมหมู่เสาหินที่เกิดจากธรรมชาติอย่างเพลิดเพลิน จนมาสะดุดหยุดลง
ตรงที่แห่งหนึ่งซึ่งมองดูเหมือนเวิ้งถ้ำตื้นๆ  คุณโยเซฟ จึงอธิบายว่า บริเวณนี้เรียกว่า
Hljódaklettar เป็นส่วนที่เหลือของปากปล่องภูเขาไฟที่ถูกกัดเซาะจากแม่น้ำ
Jökulsá เมื่อสามพันปีมาแล้ว และส่วนที่เหลือนี้เค้าจะเรียกกันว่า โบสถ์ (kirkja)  



เมื่อแหงนมองบนเพดานของถ้ำ เราก็จะพบวิจิตรศิลป์อย่างเคย ซึ่งธรรมชาติได้
เสกสรรปั้นแต่งไว้ให้มองได้ไม่รู้เบื่อ



หลังจากเสียเวลาอยู่ที่นี่สองสามชั่วโมงเราก็เดินทางต่อเพื่อไปพบต้นกำเนิดของ
แม่น้ำสายรุนแรงที่เพิ่งเดินผ่านมา  ที่สุดเมื่อขับรถผ่านถนนหนทางที่แสนจะ
ทุรกันดารในระดับที่สูงขึ้น สูงขึ้น  ไม่มีต้นไม้หรือวัชพืชใดๆ ให้เห็น มีเพียงเศษ
ซากของก้อนหินใหญ่ๆ และถนนก็เกิดจากการบดหินเหล่านั้น ดังนั้นจึงเป็นหนทาง
ที่ธรรมชาติมากจริงๆ  

คุณโยเซฟนำรถมาจอดที่ลานดินแห่งหนึ่ง.....ซึ่งป้ายข้างทางเขียนไว้ว่า Detifoss
อันหมายถึงน้ำตกอันเป็นจุดหมายที่อิฉันจะได้มาชมในวันนี้ แต่ไม่ว่าจะมองไปด้าน
ไหนก็จะเห็นแต่หมู่มวลหินใหญ่น้อย ระเกะระกะสายตาไปหมด....งั้นแสดงว่า...
อิฉันต้องเดินอีกแน่ๆ

วันที่ไปนั้นมีสายฝนโปรยปรายมาให้หนาวสั่นกันซะอย่างนั้น แต่ด้วยที่โอกาสจะมา
นั้นมันแสนยากเย็น ทำให้ต้องฝ่าฝันอุปสรรคทั้งปวงเพื่อจะไปเชยชมสายน้ำสาย
ใหญ่ตกจากหน้าผาสูงชันและที่ส่งเสียงคำรามท้าทายให้เราได้ยินก็ไม่น่าจะไกล
สักเท่าไร....

เส้นทางที่จะนำอิฉันไปสู่น้ำตกนั้น เมื่อเดินไปสักพักเราจะพบว่าเหมือนมีแม่น้ำ
สายหนึ่งความกว้างก็น่าจะระดับเจ้าพระยาช่วงสะพานพระปิ่นเกล้าทีเดียว มานอน
ทอดขวางทางอยู่แต่ไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว เมื่อมองลึงลงไปที่พื้นผิวของหินที่
เปรียบเสมือนก้นลำน้ำก็ดูราบเรียบเสมอกัน....หากจะให้เดา ก็น่าจะเป็นเส้นทาง
น้ำเก่าแก่ที่เปลี่ยนเส้นทางไปสู่น้ำตกที่เรากำลังจะก้าวไปหา หรือว่านี่คือ สายน้ำ
ที่ทำให้เกิดหมู่เสาหินและทลายปล่องภูเขาไฟที่เราเพิ่งเดินชมเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่
ผ่านมา ...



การหักเหของสายน้ำ อาจจะเกิดจากการแยกตัวของแผ่นดินบางส่วน และนั่น
ทำให้เกิดน้ำตกใหญ่โตและสูงลิบลิ่วในปัจจุบัน....อิฉันค่อยๆ ลัดเลาะลงไปเพื่อ
เดินข้ามก้นแม่น้ำที่แห้งขอดสายนี้ และหลังจากปีนป่ายขึ้นไป อิฉันก็พบว่า ข้าง
หน้าของเราคือน้ำตกที่ใหญ่ตระการตาจริงๆ  เสียงน้ำที่กระโจนลงไปกระแทก
โขดหินและพวยพุ่งไอละเอียดเล็กๆ ขึ้นมาประดุจสายฝน เมื่อพานพบกับแสงแดด
ก็ก่อให้เกิดรุ้งเส้นงามสู่สายตานั้น  มันดูทั้งน่าสะพึงกลัวและสวยงามไปพร้อมๆ กัน....

บริเวณใกล้หุบเหวจะเปียกชื้นและเกิดเป็นแอ่งน้ำทั่วไปจากละอองน้ำที่ตกลงมา
จนบางแห่งต้องกันเชือกไว้ไม่ให้เดินเข้าไปใกล้กว่านี้ เพราะอันตรายจากการยุบ
ตัวของดิน  ด้วยว่าเป็นหุบเหวลึก (ประมาณ 40 กว่าเมตร) และแนวน้ำตกเป็นแนว
ทแยง (กว้างประมาณ 100 เมตร) จึงทำให้ไม่สามารถมองลงไปเห็นสายน้ำด้าน
ล่างได้  อิฉันพบว่า อีกฝั่งของน้ำตกก็สามารถไปเดินได้ แต่ต้องขับรถไปอีกเส้น
ทางหนึ่งเท่านั้น ....





อิฉันใช้เวลาอยู่ตรงนี้เพื่อเก็บภาพความงามและซึมซับความรู้สึกหลายๆ อย่าง
เพราะไม่รู้ว่าอีกนานเท่าใดถึงจะมีโอกาสมาเยือนสาวน้อยที่อารมณ์รุนแรงนาง
นี้ได้อีก ....

ระหว่างเดินกลับออกมาผ่านเส้นทางน้ำเก่านั่นเอง  สายตาก็บังเอิญมองไปพบ
ป้ายชื่อน้ำตก selfoss จึงรู้ว่ามีเจ้าน้ำตกเล็กๆ ที่อยู่เหนือขึ้นไป และมองเห็นอยู่
ลิบๆ ถ้าเป็นบ้านเราก็คงเรียกเป็นชั้นที่ 1 ที่ 2 ของน้ำตกเดียวกัน แต่ที่นี่เค้ามีชื่อ
เรียกขานให้แตกต่างกันไปเลย....



หากความท้อถอยกับการเดินขึ้นๆ ลงๆ  ประกอบกับความหนาวเย็นของฝนและลม
ก็เลยใช้วิธีซูมกล้อง และถ่ายภาพเป็นที่ระลึกมาแค่นั้นเอง....

คุณโยเซฟเล่าว่า ยังมีน้ำตกอีกแห่งที่อยู่ในบริเวณเดียวกันนี้ แต่ก็ไม่ได้น่าสนใจ
เพราะเจ้า Detifoss ที่ยิ่งใหญ่นี้เรียกเรตติ้งไปเสียคนเดียว 55  และที่สำคัญ ถนน
เส้นนี้หากมุ่งหน้าลงใต้ไปเรื่อยๆ ก็จะไปบรรจบกับทุ่งลาวาใหม่เอี่ยม (Krafla)
และViti ที่พาเราไปเดินมาเมื่อวานนี้และก็ไม่ไกลมากแล้วจากจุดนี้


แม่น้ำ Jökulsá จากน้ำตก Dettifoss


แต่ถนนหนทางยิ่งกว่าทางที่เราดั้นด้นเข้ามาอีกเล็กน้อย...อิฉันบอกไว้ ณ จุดนี้
ไว้ก่อนเลยนะคะว่า หากท่านไปเยือนไอซ์แลนด์และอยากท่องเที่ยวแบบอิฉันนี่
เห็นทีจะต้องฟิตร่างกายเสียหน่อย เพราะมิเช่นนั้นจะเป็นอย่างอิฉันในตอนนี้
เพราะว่า แทบไม่อยากทำอะไรอีกเลย นอกจากตะกายขึ้นหาที่นอนนุ่มๆ กับผ้า
ห่มหนาๆ และฮีทเตอร์ร้อนๆ นอนหลับแบบเป็นตายเพราะ...โค-ตะ-ระ เมื่อย 555

ด้วยความเมื่อยล้าจากทริปที่่ผ่านมาเมื่อวาน ทำให้เรียกร้องขอไปแช่น้ำร้อนเพื่อ
ลดความเมื่อยล้า...อากาศเย็นๆ และอยู่ในน้ำอุ่นนี่มันช่างสบายหายเมื่อยขบได้
เป็นอย่างดีทีเดียว ประกอบกับเมื่อวานก็เหนื่อยจนแค่แวะพักทานฮอทดอกแล้ว
กลับเข้าเต้นท์นอนกันเลย วันนี้จึงจำเป็นจะต้องอาบน้ำด้วย 555  

อิฉันขอแช่น้ำไม่นานค่ะ แค่สองชั่วโมงหลังจากนั้นก็ไปขับรถเที่ยวชมเมือง Husavík
เสียหน่อย ทั้งวางแผนขึ้นเรือเพื่อชมปลาวาฬด้วย....

เมืองฮูซาวิคนี้เป็นเมืองเล็กๆ ชายฝั่งตอนเหนือของไอซ์แลนด์ โดยหันหน้าออกสู่
ทะเล  ด้านหลังมีภูเขาใหญ่เป็นแบล็คกราวน์ ทำให้เมืองนี้ดูสวยงามน่าอยู่  อิฉัน
สังเกตุว่าบ้านเรือนสวยๆ จะอยู่บนเนินเขาทางด้านเหนือ ส่วนที่ต่ำลงมาจนถึงริม
ทะเลจะเป็นอพาร์ทเม้นท์และร้านค้า  


โบสถ์ประจำเมือง ฮูซาวิค


เมืองนี้เป็นเมืองทางตอนเหนือที่ถ้าสังเกตุดีๆ จะเห็นว่าไม่ค่อยเห็นชายหาดนัก
ส่วนมากจะเป็นหน้าผา  ส่วนริมทะเลด้านเมืองจะเป็นเขื่อนเพราะจะเป็นท่าจอดเรือ...
น่าจะสำหรับเรือหาปลา หากปัจจุบันบางส่วนเป็นที่จอดเรือท่องเที่ยวชมปลาวาฬ
ซึ่งขึ้นชื่อมากของประเทศนี้....

สำหรับทิวทัศน์ของเมืองนี้หากหันหน้าออกสู่ทะเล ก็จะเป็นขอบฟ้าของขั้วโลกเหนือ
ด้านขวามือจะเป็นถนนที่วิ่งไปทางตะวันออกสู่เมืองที่อิฉันเคยไปเที่ยวมาแล้ว
ซึ่งด้านนี้ถนนจะเลาะหน้าผาของขอบประเทศไปเรื่อยๆ ส่วนไหนที่เป็นลาดต่ำลง
ก็จะมีเมืองตั้งอยู่ ส่วนทางด้านซ้ายจะตีโค้งออกไปทำให้เมืองนี้ดูเหมือนอยู่ในอ่าว
ด้านนั้นจะมีชายหาด แต่ถนนไม่ได้เลาะอ้อมไปตามชายหาดนะคะ เพราะติดภูเขา
ใหญ่ที่บังอยู่ที่สุดโค้งนั้น  ถนนด้านซ้ายมือนี้จึงวิ่งตัดตรงไป และถ้าไปตามถนนนี้
เลี้ยวขวาก็คือพื้นที่อิฉันไปตั้งเต้นท์พักแรมกันอยู่นั่นเอง....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น