วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เรื่องเก่าๆ ที่อยากเล่า

เมื่อสักสี่สิบปี่ก่อน ถนนเจริญนครยังคงเป็นถนนสองเลน มีไหล่ทางที่เป็นดินปนกรวด
ที่ทางการนำมาถมเพื่อสร้างถนน  กว้างขวางมากพอที่รถสิบล้อสามารถจอดซ้อนคัน
กันได้ถึงสามคันทีเดียว...

บ้านอิฉันอย่างที่บอกค่ะว่าอยู่ติดถนนนั้น ด้านหนึ่งเป็นโกดังเก็บสินค้า ดังนั้น ทุกๆ วัน
จะมีรถสิบล้อมาจอดเรียงรายให้เห็น และส่วนมากก็จะเป็นรถที่มีกระสอบเทินกันเต็ม
คันรถ...โตขึ้นมาจะเห็นมีคนเดินเอาเหล็กที่มีกรวยทิ่มแทงกระสอบทุกคัน ทราบภายหลัง
ว่าเป็นกระสอบข้าวสาร และที่มาทิ่มแทงเพื่อเก็บข้าวไปตรวจสอบ...

ทุกๆ วันจะมีคนงานผู้ชายจำนวนมากมายเดินไปที่โกดังเก็บสินค้าเพื่อใช้แรงงานในการ
แบกกระสอบ ไม่ว่าจากรถลงไปในโกดัง หรือจากเรือขึ้นไปโกดัง...บางส่วนบางครั้งก็
แบกจากโกดังขึ้นรถ...ซึ่งภาพเหล่านั้นเห็นจนชินตา...หลังเลิกงานคนเหล่านั้นก็จะหา
เหล้ากิน ซึ่งมีทั้งแบบซื้อเป็น กั๊ก เป็นกลม และถ้าน้อยหน่อยก็มากรี๊บที่ร้าน เราทำมา
ค้าขายกับกรรมกรแบกหามเหล่านี้กันช้านาน ทั้งข้าวแกงที่ต้องตื่นมาทำกันแต่เช้ามืด
ทั้งเหล่าขาว เชี่ยงชุน รวมถึงเหล่าแดง ประเภท 38 ดีกรีหลากหลายยี่ห้อ...ซึ่งตอนเด็กๆ
ก็ได้แต่คิดว่า ทำไมพวกเค้าเหล่านั้นต้องกินเหล้ากันทุกวัน...

ทุกๆ สามทุ่มอันเป็นเวลาที่รถเหล่านี้ได้มีโอกาสวิ่งบนท้องถนน...ความสั่นสะเทือนก็
บังเกิดขึ้นทันที...นึกสภาพรถบรรทุกคันโตๆ ที่ออกเวลาเดียวกันสิคะ...ละแวกบ้าน
หรือถนนเส้นนี้ มีโกดังเก็บสินค้าเรียงรายตั้งแต่บ้านอิฉันเข้าไปถึงพระประแดง...มีกี่
โกดัง และแต่ละโกดังมีรถบรรทุกมาจอดนำสินค้าเข้าจำนวนเท่าใด...เวลาสามทุ่มตรง
คือเวลาที่สิงห์รถบรรทุกเหล่านี้จะต้องพากันวิ่งไปเพื่อไปนำสินค้าเข้ามาให้ทันตอนเช้า
อีกครั้ง...หรือถ้าไกลหน่อยก็ต้องเร่งทำเวลาไปยังปลายทางเพื่อนำสินค้าขึ้นรอเวลา
บุกเข้ากรุงในคืนวันต่อไป....

ปัจจุบัน ภาพเหล่านั้นค่อยๆ ลางเลือนไปตามกาลเวลาและเมืองที่เปลี่ยนไป...หาก
โกดังสินค้าริมแม่น้ำเจ้าพระยายังคงมีอยู่  ต่างกันแค่สินค้าที่นำมาเพื่อเช่ามันเปลี่ยน
ไป รูปแบบการนำเข้าก็เปลี่ยนไปตาม...โกดังของบริษัท อีสต์เอเซียติคที่อยู่เยื้อง
ฝั่งแม่น้ำ บัดนี้กลายเป็นย่านธุรกิจการค้า ที่ผู้คนจำนวนมากมายมหาศาลต่างตื่นตัวไป
เยือนจำนวนมากๆ ทุกๆ วัน...สาเหตุเพราะรูปแบบการใช้โกดังในเมืองน้อยลงไป ด้วย
ภาวะของการห้ามรถบรรทุกใหญ่ๆ เข้า ทำให้การขนส่งสิ้นเปลืองมากขึ้น...คนเช่าโกดัง
น้อยลง...นักธุรกิจก็ย่อมต้องมองหาผลประโยชน์จากพื้นที่...ซึ่งอิฉันยอมรับว่า...เป็น
วิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ แม้เขาจะเปลี่ยนจากโกดังเป็นพื้นที่ธุรกิจอื่น เขาก็ยังเก็บ
ความทรงจำเก่าๆ ไว้เพื่อขายให้คนรุ่นหลังได้รับรู้วิถีของโกดังเก็บสินค้าที่สมัยก่อน
คือเขตรอบนอกของกรุงเทพฯ ....นั่นเอง....

สมัยเด็กๆ นั้น...บ้านอิฉันเป็นสวนผลไม้นาๆ พรรณ มีบ้านหลังใหญ่หนึ่งหลังที่เป็นที่
รวมของลูกๆ หลานๆ จำได้ว่า บ้านอิฉันเป็นบ้านแรกที่แยกเรือนจากบ้านหลังใหญ่ 
เนื่องด้วยพ่อเป็นช่างไม้ รับเหมาก่อสร้าง พ่อได้สะสมซื้อไม้จากโรงสีเก่าบ้าง จากร้าน
ค้าบ้าง แล้วก็ปลูกเป็นเรือนไม้ชั้นเดียว...แรกๆ แม่เล่าว่าก็แค่เรือนเล็กๆ แต่พอไปรับ
เหมาตรงไหน มีไม้เหลือก็เก็บเอามา พอมากขึ้นก็ต่อเติมไปเรื่อยๆ จนบ้านเล็กๆ กลาย
เป็นบ้านหลังโตสองชั้น ข้างบนเป็นสองห้องนอนใหญ่ๆ ด้านล่างโล่งๆ มีน้องน้ำกว้างขวาง 
ห้องเก็บเครื่องมือของพ่อ ส่วนครัวนั้นก็อยู่มุมหนึ่งของระเบียงหน้าบ้าน แบบไทยเดิมๆ

ส่วนหนึ่งของบริเวณเนื้อที่เกือบสองไร่ ยายแบ่งให้เช่าปลูกบ้านหลังจากที่ไม่ได้ทำสวน
กันแล้ว นั่นคือส่วนที่อยู่ถัดจากบ้านอิฉันไป จำได้ว่า บริเวณนั้นมีคนมาเช่าทั้งหมด 6
บ้าน...ต่อจากบ้านอิฉันไปเป็นคนจีน ถัดไปนั้นจำไม่ได้ ส่วนบ้านที่อยู่ริมเลยนั้น เป็น
ข้าราชการทหารอากาศ และบ้านนี้ก็สนิทสนมกับลุงป้าน้าอามาก มีลูกชายสามคน ซึ่ง
ก็อายุวัยเดียวกับอิฉัน ทำให้เรามีเพื่อนเล่นที่ไม่ใช่สมาชิกในบ้านเพิ่มมาอีก...

ส่วนอีกฝั่งซอยเล็กๆ ที่ยาวมาถึงบ้านอิฉันที่เราทำรั้วล้อมเอาไว้ เป็นบ้านคนจีน จำได้
หลังหนึ่งเจ้าของบ้านชื่อไต้ท้ง...บ้านนี้ก็มีลูกชายที่เป็นเพื่อนเล่นด้วยเหมือนกัน...แต่
ไม่รู้ด้วยสาเหตุอะไร เด็กทั้งหมดไม่ได้มีโอกาสเข้ามาเล่นในบ้านอิฉัน แต่อิฉันกลับ
กลายเป็นคนที่ได้เข้าไปเล่นกับเพื่อนๆ เหล่านั้นในบ้านของเค้าแทน ฮ่าๆๆๆ

บ้านใหญ่คือบ้านที่เต็มไปด้วยสมาชิกมากมายหลายสิบชีวิต...ด้วยคุณแม่ (คุณยาย) 
มีลูกทั้งหมด 10 คน อิฉันมาทราบภายหลังว่า ทั้งสิบคนนั้นไม่ใช่ลูกแม่เดียวกัน หาก
มีสามแม่ เนื่องจากคุณตานั้น ได้รวบรวมพี่น้องสามคนมาเป็นภรรยาเสียหมด อิอิ คง
หลุดรอดไปหนึ่งคน...

เคยไล่เลียงลำดับญาติก็ได้ทราบว่า คุณทวดนั้นเป็นลาวอพยพมาจากเวียงจันทน์เมื่อ
คราเวียงจันทน์แตก มีหอบหีบสมบัติสวยๆ และเครื่องทองมาด้วย สมัยเด็กๆ อิฉันเคย
เข้าไปถูห้องคุณยายได้ทันเห็นหีบใบใหญ่ๆ ที่เรียงรายซ้อนกันหลายใบ แต่นั่นหลังจาก
ที่บ้านโดนปล้นไปแล้ว หีบที่เหลือจึงกลายเป็นแค่หีบเสื้อผ้าธรรมดาเก่าๆ เท่านั้น ส่วน
หีบสวยๆ นั้น เห็นว่าโดนยกไปตอนโดนปล้นบ้าน...เฮ้อ...เสียดายยยยยย

คุณทวดนั้นอพยพมาอยู่ไทยก็มาพบรักกับหนุ่มจีนและได้ลูกสาวสี่คน ซึ่งสามคนก็กลาย
มาเป็นภรรยาของคุณหลวงชาวไทยที่เป็นตำรวจ...ฮั่นแน่...แม่ของอิฉันเนี่ยสามเชื้อสาย
ทีเดียว คริๆ...จำได้ว่า นามสกุลทางแม่นี่ก็จากคุณพ่อที่เป็นข้าราชการได้รับพระราชทาน
นามสกุลจากในหลวงรัชกาลที่ห้า...เสียด้วย...อิฉันได้เห็นใบประกาศราชทานนามสกุล
ที่เป็นลายมือของพระองค์ท่านเป็นบุญตายิ่งนัก...


คุณยายกับป้า บนเรือนไม้หลังใหญ่


ถ่ายกับพี่สาวคนกลาง กี่ขวบหนอ


คุณป้ากับพี่สาว เห็นประตูลงไปศาลาหน้าบ้าน


ด้วยความชอบเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องเก่าๆ ทำให้อิฉันชอบคุยกับน้าสาวซึ่งเป็น
คนช่างจดช่างจำ...ต่างกับแม่ของอิฉันที่ชอบอ่านหนังสือ นวนิยาย..จนปัจจุบัน
ก็ยังอ่านอยู่แม้สายตาจะฝ้าฟางแล้วก็ตาม...อ่านได้ทั้งวัน...สงสัยเรื่องอ่านเนี่ย
อิฉันจะติดจากแม่นี่เอง....

อย่างที่บอกละค่ะ...ด้วยชอบเรื่องเก่าๆ ก็มักจะนั่งคุยกับคุณน้าสืบสาวราวเรื่อง
ของครอบครัวอยู่เรื่อยๆ จับใจความได้ว่า...

เมื่อสมัยที่มาซื้อที่ทาง ซึ่งก็คือที่อิฉันอยู่ปัจจุบันนั้น...มีสองครอบครัวข้าราชการ
คือตระกูล ณ นคร และตระกูลของเรา...เมื่อสมัยมาอยู่แรกๆ นั้น นอกจากคุณตา
ที่เป็นข้าราชการ ที่ๆ ซื้อก็ยกร่องมีต้นหมากรากไม้อยู่แล้ว...น้าเล่าว่าก็เป็นสวน
ผลไม้ ได้เก็บผลกินกันภายในบ้าน นอกจากฤดูไหนมีเยอะก็จะมีแม่ค้า พ่อค้ามา
ติดต่อเก็บไปขาย...ซึ่งก็ไม่ได้ขัดสนอะไรกันนัก...

ครอบครัวเป็นครอบครัวใหญ่ค่ะ เพราะมีทั้งคุณยาย คุณพ่อ คุณแม่ และลูกๆ รวม
กันถึง 10 คน เป็นหญิงซะ 4 ชายอีก 6 และมีคุณน้าอีก 2 บ้านที่ปลูกเป็นเรือนใหญ่
กว้างขวาง กินพื้นที่มากกว่า 50 ตารางวา ใต้ถุนสูงมาก 

บนบ้านนั้นแบ่งเป็นสองตอนทำระดับต่างกัน...ตัวบ้านจะปูด้วยไม้สักแผ่นโตๆ ลง
เทียนมันวับ...การเช็ดถูค่อนข้างเหนื่อยในแต่ละวัน...ด้วยสมัยก่อนไม่มีไม้ถูพื้น
ต้องนั่งลงเช็ดไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นเด็กก็ใช้วิธีเข็นไปโดยการวางผ้าแล้วมือทั้งสองวาง
หลังจากนั้นก็โก่งตัวให้เท้าดันเข็นไปจนสุดแผ่นไม้กระดานอีกฝั่ง ก็เปลี่ยนแผ่นแล้ว
ถูวกกลับมา  

บนตัวเรือนจะมีห้องใหญ่สามห้อง สองห้องติดกัน และอีกห้องข้ามมาอีกฝั่งประตู
ส่วนโถงก็ค่อนข้างกว้างขวางมาก อีกส่วนจะเป็นห้องครัวซึ่งกว้างเกือบเท่าตัวบ้าน
แต่ลดระดับเพื่อให้เห็นว่าเป็นอีกส่วน...ตรงนี้จะมีห้องอีกหนึ่งห้องใหญ่...และถึง
ประตูด้านหลังที่เปิดออกไปจะมีบันไดลงข้างล่าง แต่ตรงชานนอกนี้จะมีห้องส้วม
เฉพาะห้องส้วมนะคะ...ส่วนบันไดลงไปนั้นก็จะลงไปสู่ท่าน้ำหลังบ้านที่กั้นสังกะสี
ไว้สำหรับเป็นห้องอาบน้ำ ซึ่งก็คือคลองข้างบ้าน โดยมีบันไดทอดลงไปจากพื้นอีก
ทอดนึง ในห้องน้ำก็จะมีโอ่งใบใหญ่เอาไว้ตักน้ำมาใส่แล้วก็กวนด้วยสารส้มให้น้ำ
ใส...

ด้านหน้าบ้านก็จะมีชานบ้านกว้างขวางอีกเช่นกัน...มีบันไดทอดตัวลงสู่พื้นดินมันวับ
สีดำสนิท...ส่วนอีกด้านก็จะมีบันไดทอดตัวลงสู่ศาลาซึ่งก็จะมีทางทอดตัวไปสู่ท่า
น้ำของคลองข้างบ้าน ตรงนี้สมัยที่ยังใช้เรือ...ก็จะเป็นที่จอดเรือแจวด้วย...แต่ตอน
ที่จำความได้นั้น ส่วนของท่าน้ำไม่มีแล้ว กลายเป็นกอโมขก์และต้นเหงือกปลาหมอ
ที่ค่อนข้างกินเนื้อที่กว้าง ความหนาแน่นของกอเหงือกปลาหมอและโมกข์นั้น สมัย
เด็กๆ เคยเอาเสื่อขึ้นไปปูแล้วนอนเล่นนุ่มๆ ด้วยค่ะ...

กอเหงือกปลาหมอนี้...เป็นยาพื้นบ้านที่ชาวบ้านแถวนั้นได้อาศัยมาตัดไปต้มน้ำอาบ
แก้ผดผื่นคันได้ชะงัดนัก...ตรงนี้จะมีต้นมะเหมี่ยวสูงใหญ่เทียมบ้าน แผ่กิ่งก้านเป็น
ชั้นๆ สวยงามมาก เวลามีลูกดกนักหนา แต่กิ่งล่างๆ ก็มักจะไม่ค่อยโตเพราะเด็กๆ 
จะมาเก็บกินเสียก่อนที่มันจะสุกหวาน จะมีแต่กิ่งบนๆ ที่พวกเราเอื้อมไม่ถึงละค่ะ
ที่คุณยายจะมีได้สอยจากหน้าต่างบ้านได้เลย...หึ...เด็กๆ อดกันไป 

นอกจากกอเหงือกปลาหมอที่อยู่ชายน้ำแล้วยังมีกอพลับพลึง ที่ก็จะได้รับความนิยม
จากชาวบ้านแถวนั้นอีกเช่นเดียวกัน ได้ยินว่าใบพลับพลึงนั้นเค้าเอาไปนาบกับเตาแล้ว
พันขาแก้ปวดเมื่อยได้อย่างวิเศษเลยทีเดียว...ส่วนดอกพลับพลึงขาวๆ อิฉันชอบมาก
เพราะหอมทีเดียว...มีดาหลา และกุมารทองที่มีดอกเกือบจะตลอดปี...สมัยเด็กๆ พี่
สาวชอบตัดดอกดาหลาไปให้ครูที่โรงเรียนปักแจกันในห้องเรียนเป็นประจำ...มีดอกไม้
อีกชนิดที่เรียกว่าเป็นดอกไม้ที่ไม่เคยขาดจากพื้นที่บ้านตั้งแต่ไหนแต่ไร คือดอกเข็ม
ขาวค่ะ...หอมจริงๆ ยามที่พวกเค้าออกดอกพร้อมๆ กัน ทั้งเข็มขาว โมกข์ และพลับพลึง
มันช่างเป็นเวลาที่ยอดเยี่ยมมากๆ...

ช่วงสมัยสงครามโลกนั้น ครอบครัวตามคุณตาไปอยู่สุราษฎร์จนญี่ปุ่นขึ้นและเป็นหนึ่งใน
ทีมราชการไทยที่ต่อสู้กับญี่ปุ่นช่วงนั้น...ซึ่งคุณลุงเล่าว่ามีเหตุการณ์ที่ผิดเพี้ยนไปจาก
เรื่องที่เล่าขานกันมานิดนึง....

ด้วยความดีความชอบทำให้ได้เลื่อนขั้นและต้องย้ายไปอยู่พระตะบอง...ทำการแพคของ
ส่งไปเรียบร้อย...เลยนั่งรถไฟพาลูกเมียเที่ยวชุมพรเสียก่อน พอเข้าถึงพระนครคุณตา
เป็นงูสวัสดิ์และเสียชีวิตในคราวนั้นเอง...

และหลังจากที่คุณตาเสียชีวิตลงก็กลับมาอยู่บ้านที่ธนบุรี ซึ่งยังคงมีสงครามอยู่...บ้านเมือง
ข้าวยากหมากแพง จนทำให้เกิดเหตุการณ์ที่หดหู่ที่สุดของครอบครัว....

บ้านโดนปล้นค่ะ...แต่ก็ไม่มีใครได้รับอันตรายถึงชีวิต...หากคุณยายก็ได้เห็นหน้าของเสือ
ที่เข้าปล้นในคืนนั้น...

ครอบครัวถึงขั้นหมดเนื้อหมดตัวเพราะสมัยนั้นไม่มีธนาคารไงคะ ของทุกอย่างต้องเก็บใส่
หีบไว้ในบ้าน เงินทอง โดนปล้นไปหมด...คุณน้าเล่าว่าตำรวจจับโจรได้ แต่ถึงวันที่คุณยาย
ต้องไปชี้ตัว จู่ๆ ก็กลับเดินไม่ได้ และตั้งแต่นั้นคุณยายก็ไม่มีโอกาสเดินได้อีกเลยจนสิ้นอายุ
ขัยเมื่อสมัยที่อิฉันยังเพิ่งเริ่มเข้าเรียน...

หลังจากสงครามเดินหนักถึงขั้นทิ้งระเบิดตอนกลางวัน คุณยายจึงต้องพาลูกหลานและบริวาร
หนีระเบิดไปอยู่หัวตะเข้ ก่อนที่จะหนีไปหนองจอกต่อไป...ยังดีที่มีญาติพี่น้องจึงได้อาศัย
หอบลูกๆ ไปอาศัยหนีสงคราม...

พอสงครามจบกลับมา..ตอนนี้ต้องละบากเพราะหัวเรือไม่มีแล้ว ลูกๆ ต้องช่วยกันทำงาน ต้อง
ทำสวน เก็บผลไม้ขาย และมีอาชีพอีกอย่างคือ ทำไม้ขีด...ซึ่งน่าจะเป็นไม้ขีดไฟตราพญานาค
อิอิ ซึ่งผู้หญิงคือป้า แม่และน้าคนที่เล่าจะยินยอมที่จะไม่เรียนหนังสือ ส่วนอีกเจ็ดคนที่เหลือก็
ร่ำเรียนจนได้รับราชการกันในเวลาต่อมา...แต่ทุกคนต้องช่วยกันทำงานไม่มีใครสบายเลย...

อิฉันนั้น...เกิดมาในสมัยที่บ้านสบายกันแล้วค่ะ...เพราะทุกคนทำงานทำการกันหมดแล้ว..อิอิ
ตอนเด็กๆ นั้นซนมากเพราะบ้านมีบริเวณ มีต้นไม้เยอะ ทั้งชมพู่ มะม่วง มะยม พวกเราก็ปีนป่าย
กันบ้าง เล่นขายข้าวแกงกันบ้าง แต่มีพืชชนิดหนึ่งที่เราชอบเล่นกันมาก เราเรียกมันว่า ต้นวุ้น
ลักษณะเป็นเถาไม้เลื้อย ใบออกกลมๆ ลักษณะคล้ายใบบัวแต่เล็กประมาณฝ่ามือ เราจะนำมา
คั้นโดยการบีบให้แหลกใส่น้ำเล็กน้อย แล้วเอาน้ำใส่ภาชนะ นำไปตากแดด ไม่นานน้ำนั้นจะจับ
ตัวคล้ายวุ้นมากๆ เราก็นำมาตัดเล่นขายของกัน...

กิจกรรมของชีวิตวัยเด็กมีมากมายเหลือคณานับ...แต่ละวันการเล่นก็แตกต่างกันไป...มีวิวัฒนาการ
ตามวัยไปเรื่อยๆ โตขึ้นมาหน่อยถึงขั้นไปซื้อลูกเจี๊ยบบ้าง ลูกเป็ดบ้าง จากโรงที่เค้าส่งไปตาม
เล้าต่างจังหวัด...ซึ่งลูกเจี๊ยบหรือลูกเป็ดเหล่านั้นเค้าจะคัดออกเนื่องจากพิการบ้าง ไม่แข็งแรง
บ้าง...ขายให้เด็กราคาถูกๆ...ซึ่งมาเลี้ยงรอดบ้าง ไม่รอดบ้าง แต่เราก็สนุกกับการดูแลมัน พอโต
ขึ้นก็หมดสนุก หากมันก็ออกไข่ให้เรากิน เคยถึงขนาดวิ่งหาไข่เป็ดในตอนเช้า เพราะเราเลี้ยงแบบ
ปล่อยให้อยู่ในสวนนั่นเอง 

อยู่ๆ มาน้าชายก็นำปลาเข็มมาเลี้ยง ซึ่งเค้าเรียกว่า ปลาเข็มหม้อ เอาไว้กัด...ทีนี้กิจกรรมของเด็ก
ก็บังเกิดอีกจนได้...เพราะน้าต้องซื้ออ่างสี่เหลี่ยมมาจำนวนมาก แล้วไปหาปลามาเลี้ยง มีกรรมวิธี
ต่างๆ นาๆ เช่นมีการหมักปลาบ้างละ มีการเลี้ยงลูกไล่ ซึ่งมาบัดนี้อิฉันก็จำไม่ได้เสียแล้วว่า มัน
ต้องมีอะไรบ้าง...แต่เราก็สนุกไปกับเค้าในยามที่เค้ามีการนำปลามากัดกัน...ไม่น่าเชื่อว่าปลาปาก
แหลมๆ ตัวเล็กๆ เหล่านั้นจะมีการต่อสู้ถึงขั้นนำมาเป็นการพนันได้ด้วย...

ต่อจากปลาเข็มก็เป็นปลากัด...ไก่ชน ซึ่งอิฉันว่ามันก็เพลิดเพลินดีทีเดียว แต่ไก่ชนที่บ้านไม่ได้
เลี้ยงค่ะ แต่เป็นคนข้างบ้านแล้วเค้ามาอาศัยพื้นที่หลังบ้านในการวางสุ่มไก่ เคยไปดูตอนเค้าเอาไก่
มาชนกันเพื่อดูว่าตัวไหนเก่ง ไม่เก่ง...ไก่ตีกันน่ากลัวมากจริงๆ ช่างเป็นสัตว์ที่ไม่ยอมแพ้กันง่ายๆ
เอาเสียเลย หลังจากตีกันแล้วเจ้าของก็จะมาประคบประหงมดูแลกันอย่างดี จำได้ว่าราคาขายไก่
ตัวเก่งๆ เนี่ยขึ้นหลักหมื่นกันเลย (สมัยนั้นนะคะ) 

อย่างที่เล่าให้ฟังนั่นแหละค่ะ...กิจกรรมของเด็กอย่างอิฉันที่ซนขนาดแม่เรียกเป็นลิงเป็นค่างนั้น
ย่อมมีไม่น้อยเลยทีเดียว....แม้ในยามฝนตก....เราชอบวิ่งตากฝนเล่นน้ำฝนกัน...และที่สนุกที่สุด
ก็คงจะเป็นความห่ามของเด็กผู้หญิงตัวอ้วนๆ คนนี้ละค่ะ...สมัยเด็กด้วยว่าเป็นคนอ้วนกว่าพี่น้อง
พอฝนตกเจอกับดินดำๆ มันๆ เราก็ใช้ความลื่นของดิน+น้ำ สไลค์ตัวเป็นทางยาวในแนวตกของน้ำ
จากหลังคาประหนึ่งกับลังเล่นสไลค์เดอร์ที่มีน้ำหล่อเลี้ยงในสมัยนี้เลยทีเดียว...

เอ๊ะ..!!! หรือคนคิดทำรางสไลด์เดอร์ตามสระว่ายน้ำจะเคยเล่นอย่างเราหว่า...ฮ่าๆๆๆ

บ้านหลังใหญ่ที่เราดูว่าใหญ่สมัยเด็กๆ ไม่ได้ดูเล็กลงเลยเมื่อเราโตขึ้น กลับต่อเติมเสริมแต่งขึ้นเรื่อยๆ
เพราะพี่น้องออกครัวกันก็ต้องกั้นห้องแต่งหับแบ่งแยกสัดส่วนกันเรื่อยๆ จากที่มีแต่ชั้นบนก็ไล่ละลง
มาชั้นล่างที่มาแตกครัวได้อีก 4 ครัวเลยทีเดียว ส่วนแม่กับพ่อขอแยกเรือนโดยมาสร้างกระต๊อบ
ท้ายสวนอยู่กันสองคนผัวเมีย...สบายไป...

ปัจจุบัน...บ้านหลังใหญ่ดูทรุดโทรมเพราะมีคนอยู่เป็นบางเวลา ตกแต่งเฉพาะส่วนที่จะอยู่ เมื่อ
สองสามวันก่อน อิฉันเดินไปดู...เห็นสภาพแล้วได้แต่ถอนใจ เพราะผนังบางส่วนของห้องที่ไม่มีใคร
อาศัยเริ่มผุผังเหมือนบ้านร้างเสียแล้ว หลังคาที่เป็นสังกะสี ด้วยอายุอานามของมัน..ทำให้หมดสภาพ
กลายเป็นสนิมผุพัง ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนที่ต่อเติมมาภายหลัง ไม้ก็เป็นไม้ยาง ไม้ระแนงธรรมดา ทำให้
ผุพังง่าย ตอนนี้ก็เหลือแต่ส่วนที่เป็นไม้สักที่ยังคงทน...อิฉันคงได้แต่แลมองว่า คนที่ใช้ชีวิตอยู่ตรง
นั้นจะทำการบูรณะซ่อมแซมมันเมื่อไหร่...บ้านหลังใหญ่ของครอบครัวคงได้มีโอกาสฟื้นขึ้นมามี
ความสวยงามแบบเก่าๆ น่ากลัวๆ เหมือนเดิม....



คุณยายที่ศาลาหน้าบ้าน ฝั่งลงท่าน้ำ


งานสวดศพคุณยายบนเรือนใหญ่ 


งานบวชน้าชายคนเล็กของตระกูล


ญาติโกโหติกา


เรื่องในวัยเด็กสมัยอิฉันนั้น..ไม่มีของเล่นประเภทตุ๊กตุ่นตุ๊กตา ไม่มี
เกมส์เพลย์ ไม่มีคอมพิวเตอร์...เราก็ได้อาศัยเล่นกันอยู่ในสวน ปีนต้นไม้
เก็บผลไม้กิน ปลูกต้นหมากรากไม้ เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ จับจิ้งหรีด..อุ๊ย...
พูดถึงจิ้งหรีด ก็นึกย้อนไปถึงก้อนดินดำๆ ที่เรานำมาปั้นให้เป็นกล่อง สี่
เหลี่ยม ไม่ใหญ่นัก ด้านบนเราใช้ไม้เสียบเป็นลูกกรงแล้วเราก็เริ่มส่อง
หาจิ้งหรีดในยามค่ำคืน....ตอนนี้นึกรูปร่างหน้าตาเจ้าจิ้งหรีดตัวเป็นๆ ไม่
ได้เสียแล้ว...จำได้แต่แมงกว่าง ตัวด้วง ที่เราก็เคยนำมาเลี้ยงเช่นเดียวกัน
แต่ไม่ช้า ไม่นาน พอผู้ใหญ่รู้ ก็มักจะโดนดุและให้ปล่อยพวกเค้าไป...

อีกเรื่องที่สนุกไม่แพ้กันคือ....การกระโดดน้ำคลอง อิฉันนั้นจำไม่ได้ว่า
ว่ายน้ำเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าระยะแรกการว่ายน้ำได้ยินพี่ป้าน้าอา
เรียกท่าว่ายของเราว่า ลูกหมาตกน้ำ...ถ้านึกไม่ออกลองเอาหมาลงสระ
ว่ายน้ำสิคะ....แล้วมันจะโชว์ท่าว่ายน้ำให้เราชม ฮ่าๆๆๆ

ข้างบ้านที่เป็นคลองนั้น ไม่ได้ใหญ่มากนัก เป็นคลองเล็กๆ ที่ฝั่งตรงข้าม
เป็นสะพานไม้ทอดเหยียดยาวตลอดแนวรั้วสังกะสีของโกดังยาวจากปาก
ทางถนน ถึงสุดพื้นที่ของบ้าน...จากนั้นก็เป็นสะพานข้าม ซึ่งก็คือเขตของ
อีกตระกูลที่เค้าสร้างห้องแถวเรียงรายเลาะริมรั้วด้านหลังของบ้านเรา...

จากห้องอาบน้ำที่มีประตูเปิดไปที่คลองนี้แหละ...ยามน้ำเต็มๆ เราจะโผ
ไปมาระหว่างบ้านกับสะพานนั้น...และที่สุดเราก็ว่ายน้ำเล่นตามลำคลอง
ได้ ยามน้ำน้อยๆ ถ้าเราเล่นน้ำมักจะโดนดุเพราะบางครั้งเท้าก็ไปกวนเอา
ตะกอนขึ้นมาขุ่นดำ....ช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี...น้ำในคลองจะเต็มจน
ถึงพื้นสะพานแต่ไม่เคยท่วมสะพานสักที...ด้วยว่าเค้าทำสูงเกินระดับน้ำ
อยู่แล้ว...พอโตขึ้นมาช่วงจะเข้าวัยรุ่น...น้ำเริ่มเพิ่มระดับในเดือนนี้จนถนน
เข้าบ้านจะท่วมทุกปี และเราก็เล่นน้ำกันในบ้านเสียเลย..แม่เล่าว่า แต่ก่อน
นานๆ ระดับน้ำจะท่วมถึงสวนสักที...โชคดีว่าตอนที่ระดับน้ำเริ่มสูงบ้านเรา
ไม่มีสวนเสียแล้ว แต่กลายเป็นถนนและบ้านที่เพิ่มขึ้นมาตามจำนวนของ
สมาชิกแต่ละครอบครัว จึงจำเป็นต้องแยกครัวออกมาปลูกเรือนกันเรื่อยๆ

และอีกกิจกรรมในลำคลองนี้คือการจับปลา...ใช่ค่ะ อย่าตกใจ เรารวบรวม
เงินค่าขนมจากหลายๆ คนแล้วไปซื้อสวิงปากบาน ลักษณะเป็นไม้ต่อกัน
เป็นรูปสามเหลี่ยมมีมือจับ...ประกอบกับตาข่ายเชือกอ่อนสีขาวถักเป็นรูป
กรวยยาวๆ  ยามน้ำน้อยๆ เราจะเดินกันในคลองด้วยเท้าเปล่า กับขี้เลนดำๆ
ถ้าสมัยนี้คงเสี่ยงกับเชื้อโรคนาๆ พันธุ์....เราจะลงจากท้ายน้ำ หลังจากนั้น
ก็จะให้พี่ๆ น้องๆ ที่อยู่ต้นน้ำค่อยๆ เดินเหยียบย่ำริมๆ ตลิ่ง มักจะมีปลาช่อน
มากบดานอยู่ พอตกใจก็จะหนีตามน้ำมา ซึ่งในที่สุดก็จะมาเข้าสวิง

เรามักจะได้ปลาช่อน (ตัวไม่ใหญ่นัก) ปลาหมอ ปลาก้าง ซึ่งพวกเราก็จะ
นำมาย่างกินกันอย่างนักผจญภัย...สนุกสนานตามประสาเด็กๆ...ในจำนวน
เด็กผู้หญิงแล้ว อิฉันมักจะได้รับการยอมรับจากผู้ใหญ่ว่า อีม้าดีดกระโหลก
บ้าง อีลิงแสมบ้าง..โอย..สารพัดแหละค่ะ เพราะซนเหลือเกินยิ่งกว่าพี่น้อง
ผู้ชายเสียอีก...

การมีพี่น้องจำนวนมากๆ ทำให้พวกเรามีเพื่อนเล่นโดยไม่ต้องไปแสวงหา
จากนอกบ้าน  แต่ละวันเรามีกิจกรรมการละเล่นไม่เคยซ้ำ แต่หากเข้าไป
ในส่วนของตัวบ้านเมื่อไหร่ เช่นเล่นโปลิศจับขโมย โป้งแปะ...ที่ต้องอาศัย
พื้นที่เยอะๆ แล้วล่วงล้ำเข้าไปแอบในบ้าน...พวกเราจะโดนไล่ออกมาทันที
อิฉันมาเห็นขำ เมื่อโตมีครอบครัว ยามที่ลูกหลานเราเล่นกันมันเสียงดังจริงๆ
ขนาดจำนวนไม่มากเท่าสมัยอิฉันเด็กๆ และไม่ได้เล่นที่ต้องใช้เสียงอย่าง
พวกเรา ยังดังกวนประสาทหูได้ขนาดนี้...พูดกันทีไรก็ขำกันทุกทีไป...

เมื่อเหน็ดเหนื่อยจากการละเล่นแล้ว...เราก็มักจะไปขอสตางค์จากแม่เพื่อ
ไปซื้อขนม สมัยนั้นเวลาขอตัง...เราจะขอทีละสลึง (25 สตางค์) สำหรับ
หนึ่งสลึงนั้น มีค่าจริงๆ สำหรับเด็กในวัย 6-7 ขวบ เพราะมันหมายถึงทอฟฟี่
หนึ่งกำมือน้อยๆ เลยทีเดียว...ขนมในวัยเด็กนั้น...ร้านค้าก็คือห้องแถวที่
เรียงรายอยู่ท้ายบ้านอย่างที่บอกนั่นแหละค่ะ...ถ้าเราไม่ออกไปทางประตู
รั้วที่ทะลุออกไปยังห้องแถวไม้เหล่านั้น...ตรงรั้วบ้านของอิฉัน จะสามารถ
ตะโกนเรียกเจ้าของร้านขายของชำที่หลังบ้านอยู่ตรงบ้านของอิฉันพอดี...
แต่ตรงนั้นเราเอาไว้เรียกยามจำเป็นเท่านั้นค่ะ ...อิฉันน่ะชอบวิ่งออกไปที่
ห้องแถวเหล่านั้นมากกว่า....

มาย้อนความทรงจำกันดีกว่า....จากสะพานข้ามคลองลงมา ทั้งสองฝั่งจะ
เป็นห้องแถวไม้ทันที...ฝั่งขวานั้น เป็นร้านกาแฟซึ่งกินเนื้อที่ถึงสองห้อง
เจ้าของร้านเป็นคนจีน มีกาแฟและของใช้สารพัด...กระทั่งถ่านหุงข้าวที่
ต้องซื้อจากร้านนี้ เครื่องดื่มต่างๆ โดยเฉพาะไวตามิลค์แช่เย็น น้ำแข็งที่
มีทั้งเป็นก้อนใหญ่ๆ ถ้าจำไม่ผิดหนึ่งกั๊กจะมีสี่ก้อนหรือไงเนี่ยแหละค่ะ...
ถ้าต้องการนำไปแช่น้ำใส่กระติก เราก็มักจะซื้อเป็นก้อนไปเลย เพื่อให้
ละลายช้า ส่วนถ้าต้องการนำไปใส่ขนมหรือกินโอเลี้ยงกาแฟเย็น ก็จะนำ
มาทุบก่อน...สำหรับวิธีการทุบนั้น จำได้ว่าที่ทุบน้ำแข็งจะเป็นลังไม้สี่เหลี่ม
แล้วมีท่อนไม้ที่เกลากลึงเป็นแท่งด้านมือจับก็จะเล็กหน่อย ส่วนหัวทุบก็
จะเป็นเหลี่ยมหน้าตัด เอาน้ำแข็งวางลงไปแล้วก็ทุบปัง ปัง พักเดียวก็แหลก
อยู่ที่ว่าจะต้องการแหลกป่นมากน้อยขนาดไหน...

อีกฝั่งร้านจะเป็นร้านน้ำแข็งไส...น้ำแข็งกด...น้ำแข็งไสนั้นก็จะมีแท่นไส
ซึ่งรูปร่างเหมือนเก้าอี้นั่ง แต่ตรงกลางช่วงขวางจะเจาะรูเป็นแนวยาวเล็กๆ
ใส่ใบมีดหงายเฉียงๆ เอาน้ำแข็งก้อนโตๆ เนี่ยแหละค่ะวางบนเก้าอี้ตัวนี้
จากนั้นจะมีอุปกรณ์อันนึงคือ ไม้ที่ตัดเท่าฝ่ามือ ตีด้วยตะปูตัวสั้นๆ ให้ด้าน
แหลมโผล่ขึ้นมา มีเชือกคาดสำหรับสอดมือไปวางบนไม้นั้น...เอาส่วนที่
เป็นตะปูแหลมๆ เกาะไปที่น้ำแข็งแล้วก็ไสไปบนใบมีด...เราจะได้เกร็ดน้ำ
แข็งร่วงลงมาเพื่อใส่ขนม...และถ้าจะกินน้ำแข้งกด เค้าก็จะนำไปกดใน
แก้วให้แน่น เสียบไม้ พอยกขึ้นมาก็จะราดด้วยน้ำสีต่างๆ แล้วราดด้วยนม
ข้นอีกที แท่งละสลึงหวานเย็นชื่นใจ อิอิ

ห้องแถวทั้งสองฝั่งนั้น บางห้องก็จะเช่าอยู่อาศัย บางห้องก็เปิดเป็นร้านค้า
มีร้านค้าอีกร้านหนึ่งขายแต่ขนมและของเล่น....ซึ่งร้านนี้จะเป็นที่โปรดปราน
ของพวกเรามากๆ นอกจากขนมแห้งๆ ประเภททอฟฟี่ต่างๆ แล้ว จะมีไข่เน่า
เค้าเรียกไข่เน่าจริงๆ นะ อันนี้จำไม่ได้ว่ามันคืออะไร แต่น่าจะเป็นผลไม้สีดำ
สนิท บุบๆ บี้ๆ อิฉันไม่ชอบนัก เค้าจะนำมาเชื่อมหรืออะไรสักอย่างราดด้วย
พริกกะเกลือ...มะยมแช่อิ่มสีแดงๆ ที่เค้าเสียบไม้วางไว้ต่างหากคือของโปรด
เม็ดมะยมจะเสียบเรียงกันไว้ไม่ยาวนัก จำได้ว่าสมัยเด็กๆ สองไม้สลึง วันไหน
ขอแม่ได้ห้าสิบตัง เราจะได้ลูกอมอีกหลากหลาย ถ้าจำไม่ผิดน่าจะห้าเม็ดสลึง
ฮ่าๆๆๆ มีขนมอีกหลายๆ อย่างที่อิฉันไม่เคยเห็นอีกเลย...อย่างเช่นพุทราแผ่น
ที่ทำแผ่นกลมๆ ขนาดเท่าฝ่ามือ จะมีกรรมวิธีอย่างไรไม่รู้ได้ แต่ยามที่เราซื้อ
กินคือมันจะมีน้ำตาลเคี่ยวเหนียวๆ หวานๆ และมีรสชาดเผ็ดๆ เวลาตักเค้าจะ
ใส่ใบตองแห้งที่นำมากลัดเป็นกระทงเล็กๆ สามแผ่นสลึง...อร่อยดุเดือดนัก

สุดปลายห้องแถวตรงตรอกเล็กๆ ที่จะทะลุไปถึงวัดได้นั้น มีบ้านๆ นึงเค้าจะมี
เถาไม้ชนิดหนึ่ง เราไม่รู้ว่าคือต้นอะไร เถาจะเป็นสีแดงๆ เม็ดของมันยามที่บี้
ไปจะเป็นสีแดงปนม่วงคล้ำๆ ที่เราชอบแอบเก็บมาบี้เล่นให้ติดตัวกันสนุกสนาน
และถ้าติดเสื้อแล้วละก็ ซักไม่ออกกันเลยทีเดียว...ดังนั้น...ถ้าจะเล่นไอ้ลูกที่
ว่าอย่าใส่เสื้อดีๆ ไม่งั้นโดนแม่ตีแหงๆ อิอิ

เดี๋ยวนี้ยามเห็นเด็กๆ ต้องเจ่าจุกอยู่ในบ้าน เล่นเกมส์ ดูทีวีแล้วก็ได้แต่สงสาร
หรือแม้แต่จับกลุ่มไปเดินห้าง ดูหนัง...ทุกสิ่งอย่างอยู่กับวิทยาการสมัยใหม่ อยู่
กับการแย่งกันสูดอากาศในกล่องเล็กๆ (ถ้าเทียบกับจำนวนผู้คน) ไม่ค่อยได้
ออกกำลัง เด็กสมัยนี้จะเห็นว่า ป่วยบ่อย สายตาสั้น และที่น่าตกใจคือ...เด็กๆ
จะอยู่กับสารเคมีเพื่อความสวยงาม...โลกเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ...


ด้านหลังของเด็กน้อยคือศาลเจ้าพ่อฟ้าใหญ่ประจำตระกูล หันหลังให้คลอง
ตรงนี้สมัยเด็กๆ หลังศาลจะเป็นกอเหงือกปลาหมอ และต้นโมกข์หนาทึบ
กำแพงที่เห็นถัดไปคือโกดังสินค้าของบริษัทหวั่งหลี


เมื่อโตขึ้นมา พื้นดินก็ถูกราดทับด้วยซีเมนต์เพื่อความสะดวกสำหรับรถยนต์






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น