วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ไอซ์แลนด์ Lesson 3 ep.1

ในชีวิตของคนบ้านๆ คนนึง อิฉันไม่คิดเลยว่า วันหนึ่งจะได้เดินทาง
ไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดน  ชีวิตที่ต้องทำแต่งานเพื่อความอยู่รอด  
หากด้วยความโชคดี สถานที่ทำงานของอิฉันคือ ร้านอาหารไทย
จึงมีคนไทยไปมาหาสู่  และไม่นานนัก อิฉันก็กลืนกับสังคมเมืองเล็กๆ
ที่เป็นเกาะๆ หนึ่งแถบขั้วโลกเหนือได้อย่างไม่ยากเย็น

ไอซ์แลนด์ดินแดนน้ำแข็งขั้วโลก....เกาะเล็กๆ แต่เต็มไปด้วยธรรมชาติ
อันวิจิตรพิศดารกว่าการคาดเดาของมนุษย์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ๆ
กับฝุ่นควันและมลพิษ  อากาศที่บริสุทธิ์สามารถสูดเข้าปอดได้อย่าง
เต็มใจไม่ต้องลังเล   ฟังดูแล้วก็ให้อยากสรรหาว่ามันยังมีอยู่อีกรึในโลก
ใบกระจ้อยร่อยที่กำลังโดนภัยพิบัติกร่ำกรายไปทั่วทุกหัวระแหง...

ไอซ์แลนด์แขวนอยู่กับเส้นอาร์คติคเซอร์เคิ้ล หรือเส้นรุ้งที่ 66 องศาเหนือ
ตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติค...จึงนับได้ว่าอยู่ในดินแดนติดขั้ว
โลกเหนือ...แต่เกาะเล็กๆ นี้ไม่ธรรมดา ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ของเทือกเขา
ที่ทอดตัวจากขั้วโลกเหนือสู่ขั้วโลกใต้ในแนวตั้งตามแผนที่ และประเทศนี้
เป็นส่วนของยอดเขาเพียงยอดเดียวที่โผล่พ้นผิวน้ำ  บนพื้นผิวที่ดูเหมือน
จะหนาวเย็นและเต็มไปด้วยน้ำแข็ง หากใต้ผืนดินกลับเต็มไปด้วยสายลาวา
และธารน้ำร้อนใต้ดิน....

ส่วนรอบเกาะยังเป็นกระแสน้ำอุ่นกัลฟ์สตรีม  (Gulf Stream)จึงทำให้ประเทศ
ไอซ์แลนด์ไม่หนาวเย็นอย่างที่คิดสำหรับอิฉันที่มีสายเลือดของการท่องเที่ยว
อยู่ในหัวใจ เมื่อได้มีโอกาสอยู่ในประเทศที่ไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อน สิ่งหนึ่ง
ที่อยากเจอะเจอคือ ธรรมชาติที่แปลกตาออกไป แล้วเราจะเที่ยวกันตอนไหนล่ะ...
เพราะหนาวเย็นกันซะขนาดนี้....

สองปีที่อยู่ในเมืองหลวง พอจะมองเห็นว่า ในช่วงซัมเมอร์เค้าจะมีช่วงวันหยุด
ของพนักงานเป็นระยะเวลายาวนานทีเดียว คนที่ทำงานครบ 6 เดือนจะเริ่มมี
วันหยุดซัมเมอร์ถึง 24 วันทำงาน ซึ่งหมายถึงประมาณ 1 เดือน โดยเริ่มประมาณ
พฤษภาคม ถึง สิงหาคม...

และนี่ก็น่าจะถึงเวลาดีเสียทีที่อิฉันจะได้เริ่มเที่ยวหลังจากศึกษาสถานที่เที่ยวมา
ระยะเวลาหนึ่ง...ไปกันเลยดีกว่า  

ธรรมชาติหนึ่งที่มากับความเยือกเย็น นั่นคือ ธารน้ำแข็ง (Gracia) หรือในภาษา
ท้องถิ่นเรียก Jökull (โยกุตส์) ธารน้ำแข็งในไอซ์แลนด์นั้นมีอยู่หลายแห่งทีเดียว
แต่ที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ และใหญ่ที่สุดในยุโรปด้วยนั้น อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้
ภายใต้ชื่อว่า Vatnajökull (วัคน่าโยกุตส์) และชายขอบด้านหนึ่งที่ติดแอ่งน้ำของ
ธารน้ำแข็งใหญ่แห่งนี้ก็เกิดพื้นที่น่าอัศจรรย์ขึ้นคือ  ทะเลสาปน้ำแข็ง สถานที่
ท่องเที่ยวอันลือชื่ออีกแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์ในนาม  Gracia lagoon หรือ
Jökull Saloon ในภาษาพื้นเมือง  

คำอธิบายเรื่องธารน้ำแข็งที่ออกจากปากชายหนุ่มเจ้าของบ้านทำให้อิฉันอดไม่ได้
ที่จะต้องขอร้องให้พาไป เพราะเห็นว่าใช้เวลาไม่มากนัก  สำหรับการเดินทางไป
เที่ยวทะเลสาปน้ำแข็งนี้หากไม่พักค้างแรมคนขับรถก็ต้องทรหดพอสมควร เพราะ
ต้องใช้เวลาเดินทางถึง 5 ชั่วโมงจากเมืองหลวง (Reykjavik) โดยไม่แวะที่ไหนเลย  
แต่นี่ไม่ใช่คอนเซปต์การเดินทางของอิฉันแน่ๆ  เราออกเดินทางจากเมืองหลวงวิ่ง
ลงใต้ผ่านเขาสูงลงไปที่เมือง Hveragerði (เควราเกอรี่)...และแวะเข้าอีเดน ร้าน
ขายต้นไม้และของที่ระลึก...ที่เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพรรณ  เปล่าๆๆๆ ไม่ได้ไปหา
ซื้อต้นไม้ค่ะ...แต่.. เพราะทริปนี้คิดกันแบบกระทันหัน โทร.หาบ้านซัมเมอร์แล้วเดิน
ทางเลย โดยแค่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยนหนึ่งชุด  



ดังนั้นที่อีเดนสวนสวรรค์จึงเป็นที่พักทานอาหารเช้าและก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าฮอทด๊อก
ที่แสนอร่อย ไอติมซะหนึ่งโคนบวกน้ำอีกหนึ่งแก้ว...แค่นี้พลังงานก็มาเหลือเฟือ...
เดินทางต่อโดยใช้เส้นทางหมายเลข 1 เป็นทางหลัก ผ่านเมือง Selfoss จนถึงน้ำตก
ที่มีชื่ออีกแห่งหนึ่งที่อดไม่ได้ที่จะต้องแวะทุกครั้งที่ผ่านคือ Skógafoss (สโคกาฟอส)
น้ำตกที่สามารถมองเห็นจากข้างทาง เป็นน้ำตกที่พุ่งลงมาจากหน้าผาสูง และไม่มีใคร
ที่จะปล่อยให้แนวเส้นสีขาวนั้นผ่านสายตาไปเฉยๆ โดยไม่แวะเข้าชมเป็นไม่ได้อย่าง
แน่นอน และอิฉันก็เป็นหนึ่งในจำนวนนักท่องเที่ยวที่ต้องเลี้ยวรถเข้าไปเก็บภาพสวยๆ
และนั่งชมความงามไปพร้อมๆ กัน  เสียเวลาไม่มากนัก  เราก็เดินทางต่อเพื่อ
เข้าเมือง Vik เมืองใต้สุดของประเทศไอซ์แลนด์  



น่าแปลกที่เมืองนี้หนทางที่วิ่งเข้าเมืองจะเป็นเนินเขาน้อยใหญ่ลดระดับลงเรื่อยๆ สวย
งามจริงๆ ด้วยว่าเขาบริเวณนี้เป็นสีเขียวด้วยทุ่งหญ้า มีแบล๊คกราวน์ถัดไปเป็นยอดเขา
สูงเป็นแท่งดำๆ แปลกตาเหมือนขับอยู่ในหุบเขา.....ส่วนด้านหน้าก็มองเห็นขอบน้ำ
ทะเลห่างออกไป เป็นวิวที่สวยงามกินตาที่น่าวิ่งไปหายิ่งนัก....



ที่เมือง Vik นี้จะมีหาดทรายสีดำ และหาดที่ปูด้วยกรวดเม็ดเล็กๆ ประกอบกับแท่งหิน
บะซอลต์มากมาย ที่ทอดตัวอยู่ชายทะเล ผนวกกับอีกหลายๆ แท่งที่โผล่
อยู่ในทะเลด้วยรูปร่างแปลกตา ซึ่งมีตำนานเล่าว่า คือตัว Troll หรือสัตว์ประหลาดที่มี
รูปร่างหน้าตาเหมือนคน เป็นวิวอีกมุมหนึ่งในโปสการ์ดที่ระลึกของไอซ์แลนด์เสียด้วย  
งั้นเราควรต้องไปพิสูจน์...  ใช้เวลาไม่นานนัก เราก็มาถึงชายหาดหนึ่งที่อด
ไม่ได้ที่จะขอลงเดิน เพราะหาดนี้ไม่มีเม็ดทรายให้เห็น คงมีแต่กรวดก้อนใหญ่ๆ ปูอยู่
เต็มหาด และที่จุดนี้ก็สามารถมองเห็นเจ้าแท่งหินอันลือชื่ออยู่ห่างออกไป...


หาดนี้เป็นเวิ้งไม่ใหญ่มากนัก  อิฉันอดไม่ได้ ต้องวิ่งไปถ่ายรูปกับผนังของหินชั้นๆ ที่
สวยงามจากการกัดเซาะของลมให้เป็นเส้นสวยงาม.... หมดเวลาที่เมือง Vik นานพอ
สมควรทีเดียว.......และกองทัพต้องเดินด้วยท้องที่เริ่มเรียกร้องอาหาร  เราวิ่งหาร้าน
อาหารที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้ไม่นาน เพราะเป็นเมืองเล็กมากจริงๆ แต่...ลูกสะใภ้ของร้าน
นี้เป็นคนไทยค่ะ..บังเอิญมากจริงๆ  อิฉันในฐานะแม่ครัวร้านอาหารไทย เลยได้สอน
น้องเค้าทำน้ำกะหรี่ กับน้ำเปรี้ยวหวาน สำหรับกินกับของทอดที่ฝรั่งบ้านนี้เค้าชอบกัน
นักหนา.....


หาดทรายสีดำกับแท่งหินทรายแปลกตา


จะเรียกหาดทรายก็คงลำบากใจ ขอเรียกหาดกรวดดีไม๊ 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น