วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ไอซ์แลนด์ Lesson 2

การเดินทางไปเที่ยวไอซ์แลนด์...สถานที่หนึ่งที่พลาดไม่ได้อย่างเด็ดขาดคือ
การได้ไปแช่น้ำแร่ธรรมชาติ บลูลากูน (Blue Lagoon)  อันลือชื่อ....อันว่า
สถานที่แห่งนี้จริงๆ แล้วอยู่ไม่ห่างจากสนามบินมากนัก หากใครมาทริปเช้าอาจ
จะแวะเข้าแช่น้ำแร่ก่อนเข้าเมืองก็ย่อมได้....

ส่วนถ้ายังไม่อยากแวะอาจจะด้วยไม่สะดวกก็สามารถขับรถจากเมืองหลวงออก
ไปประมาณ ครึ่งชั่วโมงเอง...บลูลาลูน เป็น outdoor hot-pot ในลักษณะ
bathing spot อันมีชื่อเสียงของไอซ์แลนด์เลยทีเดียว  สีของน้ำเป็นสี milky blue
และยังมี fine white silt ซึ่งเป็นโคลนสีขาวขุ่นไว้พอกหน้าทำสปา...

ดิฉันเองก็ชอบไปเที่ยวแช่น้ำที่นี่เมื่อมีโอกาสเสมอ....ส่วนค่าเข้าก็แพงพอสมควร
แต่รับรองว่าคุ้มค่าค่ะ

ความแปลกของสถานที่แห่งนี้คือ...รอบๆ จะเป็นลานลาวา ไม่มีต้นไม้  มีเจ้าน้ำแร่
ร้อนๆ นี่ผุดขึ้นมาจากใต้ดิน นั่นก็ยังไม่น่าพิศวงเท่า...น้ำเป็นน้ำเค็มโดยที่ไม่ได้ติด
ทะเลเลยสักนิดเดียว....ส่วนโคลนที่พอกหน้านั้น...ยอมรับว่าช่วยให้ผิวหน้านุ่มเนียน
ขึ้นจริงๆ....ไม่เชื่อต้องลองค่ะ....

เค้าว่ากันว่า..สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น  ในแถบนี้หากมีเวลาโดยที่ไม่แช่น้ำเกิน 2 ชั่วโมง
ก็ยังมีที่เที่ยวอีกหลายที่กันเลยทีเดียว  โดยการวิ่งรถต่อเข้าไปในส่วนเขต Reykjanes
(เรคยาเนส)  นับตั้งแต่ปลายแหลมที่มีประภาคาร ดูวิวที่สวยงาม...

ในหน้าร้อนทั่วบริเวณเขตนี้และรอบๆ เกาะไอซ์แลนด์ จะมีนกประเภทหนึ่งที่ชาวเมือง
เรียกว่า ครียา  นกเหล่านี้บินข้ามมหาสมุทรจากแอฟริกาเพื่อมาวางไข่ และอพยพกลับ
ไปเมื่อหมดเขตหน้าร้อนพร้อมกับนกตัวน้อยๆ ที่เพิ่มขึ้น....

ด้วยบริเวณนี้มีสายธารน้ำร้อนที่ขึ้นมาระผิวโลกอยู่มากมาย จนทำให้พื้นดินอบอุ่น บาง
สถานที่ก็มีบ่อโคลนเดือดให้เห็น รวมทั้งปล่องของสายธารน้ำร้อนใต้ดิน มากมายทั่ว
บริเวณทีเดียว...และหากมีรถขับเคลื่อนสี่ล้อ หรือรถเก๋งสมรรถนะดีหน่อย ก็อาจจะวิ่งวน
รอบทะเลสาปบริเวณเมือง Grindavík และยังมีโอกาสได้เห็นพื้นดินที่เปลี่ยนสีด้วยความ
ร้อนใต้พื้นดิน...บ่อโคลนเดือด...

ทะเลสาบแห่งนี้เมื่อดิฉันได้เดินทางไปเที่ยวครั้งแรกในปี 2001 นั้น น้ำในทะเลสาบค่อน
ข้างเยอะ...แต่หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวใกล้ทะเลสาปแห่งนี้ ทำให้เกิดรอยแยกกลาง
ทะเลสาป  น้ำในทะเลสาปจะลดระดับลงมากกว่าปีละ 5 เซ็นติเมตร  ครั้งสุดท้ายที่ไปในปี
2008 ซึ่งทางการพบว่า มีปล่องของสายน้ำร้อนพวยพุ่งขึ้นจากด้านที่น้ำแห้งไปถึงสอง
ปล่องทีเดียว...สังเกตุได้จากควันที่พวยพุ่งขึ้นมาตลอดเวลา  

สำหรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวในไอซ์แลนด์ทริปหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ...Golden circle
ซึ่งเป็นจุดขายของประเทศมาอย่างยาวนาน....วงกลมสีทองมีสถานที่เที่ยวอยู่ 3 แห่ง
สำหรับนักท่องเที่ยวในหนึ่งวัน อันประกอบด้วย....Thingvallir สถานที่แห่งนี้เป็น
National Park ซึ่งบริเวณนี้เป็นดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ของการปกครองด้วยระบบ
พรรคการเมืองที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของโลกกันทีเดียว เป็นรัฐสภากลางแจ้ง มีชุมชนใหญ่
และมีการตัดสินคดีความ...

ดิฉันเคยไปกับคนไอซ์แลนด์คนหนึ่ง เค้าบอกว่า ที่ทะเลสาบใหญ่แห่งนี้เป็นจุดแบ่ง
ระหว่างทวีปอเมริกาและยุโรป...ซึ่งอันนี้ดิฉันยังไม่เคยค้นหาคำตอบด้วยตัวเองเลยสักที...
ในบริเวณอุทยานแห่งชาตินี้เมื่อแรกเข้าไปนั้น จะต้องไปจอดรถชมวิวในที่สูงก่อนเลย  
มองลงไปจะเห็นทะเลสาปกว้างใหญ่  มีโรงแรมเล็กๆ สวยงามแห่งหนึ่ง (ปัจจุบันไม่มี
แล้วเนื่องจากไฟไหม้หมดไปทั้งอาคารเมื่อต้นปี 10) และอาคารของโบสถ์เล็ก  นอกนั้น
ก็จะเป็นลานกว้างๆ มีต้นไม้ปกคลุมอยู่ทั่วไป...เหมือนเป็นหุบเขาที่กว้างใหญ่พอสมควร
กันเลย....

ตรงจุดนี้จะมีทางเดินลงไปได้ ซึ่งน่าจะเดินเที่ยวเพราะเป็นทางเดินลงทำให้ไม่เมื่อยนัก...
ประกอบกับอากาศที่มักจะเย็นสบาย ดิฉันเลือกที่จะเดินในครั้งแรกที่ไป และอีกบางครั้ง
ที่พาผู้มาเยือนเดินชมธรรมชาติลงไปด้วยกัน....เราเหมือนเดินลงไปในซอกเขา แต่ด้าน
ซ้ายจะดูสูงชันขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนก้าวที่ย่างเท้าลงไป...จวบจนถึงพื้นด้านล่าง และ
มองขึ้นไป...โอวววว มันคือกำแพงธรรมชาติที่สูงลิบลิ่ว นึกสภาพถ้าตกลงมาคงจะเละแน่ๆ
(คิดไปได้)

ในบริเวณนี้จะมีลานประหาร มีสภากลางแจ้ง และแนวลำธารของน้ำธรรมชาติที่ผุดขึ้นมา
จากใต้ดินซึ่งคงไหลลงสู่ทะเลสาปอันกว้างใหญ่นั่นเอง...จุดนี้จะเป็นสถานที่โยนเหรียญ
เพื่ออธิษฐานขอกลับมาเยือนไอซ์แลนด์อีกครั้ง น้ำใสแจ๋วมองทะลุถึงก้นลำธารกันเลย....

สำหรับนักท่องเที่ยวที่นี่คงหมดแต่เพียงเท่านี้  แต่สำหรับคนไอซ์แลนด์มันคือสถานที่
พักผ่อน โดยจะมีจุดที่เค้าให้ตั้งเต้นท์ หรือนำรถมาจอดเพื่อพักผ่อนหย่อนใจในหน้าร้อน  
และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ กีฬาตกปลาในทะเลสาป...และขอบอกว่า หากมีการแข่งขันรับรอง
ว่า พี่ไทยเราชนะขาด ดิฉันได้อนิสงฆ์จากการชอบตกปลาของน้องๆ เป็นปลาน้ำจืด
ชนิดหนึ่งในทุกๆ หน้าร้อนค่ะ.....สำหรับสนนราคาในการตกปลาต่อหนึ่งวันต่อหนึ่งคันเบ็ด
คือ 1000 โคลนู (isk)  

สำหรับพรรณไม้ในบริเวณนี้จะเป็นไม้พื้นเมืองที่ลำต้นเหนียวแน่นเสียเหลือเกิน  นอก
จากนั้นก็ยังมีลูกแบร์สีม่วงอมดำ รสชาดออกเปรี้ยวเล็กน้อย แต่หากสุกงอมดีก็จะหวาน
ลูกแบร์นี้ดิฉันเคยนำไปต้มด้วยน้ำไม่มากนัก คั้นเอาแต่น้ำเก็บไว้ผสมน้ำเชื่อมดื่มเย็นๆ
อร่อยนักแล....โดยน้ำที่ได้จะเป็นสีคล้ายๆ น้ำกระเจี๊ยบแต่เข้มกว่าเล็กน้อย ส่วนรสชาด
ก็หอมและอมเปรี้ยวนิดๆ ..... 

ที่ต่อไปไม่ใกล้ไม่ไกลกันนักจะเป็น Geysir น่าจะอ่านว่า กีย์เซร์ (erupting hot pools)
น้ำพุร้อนที่บางครั้งสูงถึง 10 เมตร ทุกๆ 3-5 นาที...ดิฉันมักใช้เวลาอยู่ที่นี่ค่อนข้างนาน
ในการมาเยือน เพราะชอบที่จะนั่งมองและสังเกตุการพุ่งขึ้นของน้ำ....ช่างมหัศจรรย์และ
สวยงามยิ่งนัก  การไปเยือนที่นี่ หากขับรถไปเองก็มักจะเลี้ยวผิดกันเป็นประจำทีเดียว  
สถานที่นี้หากไม่เคยมาก็แทบจะมองไม่ออกเลยว่า จะเป็นที่ๆ มีน้ำร้อนพวยพุ่งอย่างรุนแรง
ได้ เพราะบริเวณรอบๆ จะเป็นทุ่งโล่งๆ มีฟาร์มให้เห็นเป็นระยะห่างๆ กัน ส่วนที่ว่านี้จะอยู่
บนเนินเขาเล็กๆ กลางทุ่งนั่นเอง.....

บริเวณนี้จะมีอาคารหลังหนึ่งจัดเป็นที่ขายของที่ระลึกและมีห้องหนึ่งที่ทำไว้สำหรับให้
นักท่องเที่ยวและผู้สนใจในธรรมชาติทางธรณีวิทยาเข้าไปชมกัน เคยเข้าไปครั้งหนึ่ง
เค้าจะจำลองเส้นสายของลาวาและธารน้ำร้อนภายใต้เกาะไอซ์แลนด์ ซึ่งเหมือนไยแมง
มุมทีเดียว มีจำลองการสั่นของแผ่นดินไหวในหลายๆ ระดับให้เรายืนทดลองกัน...
หลังจากเยี่ยมชมซื้อขนม ไอศครีม รวมทั้งพักขาก่อนเดินไปชมน้ำพุร้อนกันแล้ว...

อีกฝั่งถนน เค้าก็จะทำรั้วล้อมเอาไว้...ด้วยหนทางเดินห่างพอสมควร เราจึงได้ชมน้ำพุ
ร้อนพุ่งขึ้นมาให้เห็นเป็นระยะๆ ...ข้างๆ ทางก็จะเป็นบ่อเล็ก บ่อน้อยซึ่งไม่แน่ในอนาคต
เค้าจะเติบโต และพวยพุ่งสูงๆ เหมือนดั่งบ่อที่เรากำลังจะก้าวเท้าเข้าไปหาก็เป็นได้.....
เมื่อมายืนอยู่ปากบ่อนั้น ...ด้วยความใสแจ๋วของน้ำที่ล้นอยู่ ทำให้สามารถมองเห็นโพรง
น้ำกันทีเดียว...น้ำก็จะไม่นิ่ง บางครั้งเหมือนถูกดูดลงไปในโพรงที่เห็น  แล้วก็เอ่อล้น
ขึ้นมา เป็นแบบนี้อยู่ระยะหนึ่ง ส่วนก่อนที่จะพวยพุ่งขึ้นมา น้ำจะถูกดูดลงไปอย่างแรง
จนเห็นโพรงลึก แล้วจึงพุ่งขึ้นมาอย่างแรง พร้อมเสียงซู่ซ่าของน้ำที่แตกตัวขึ้นไปใน
อากาศ การพุ่งขึ้นไปก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน บางครั้งก็เตี้ยๆ บางครั้งก็สูงขนาดต้อง
แหงนคอตั้งบ่ากันทีเดียว....

สถานที่ต่อไปในวงเวียนนี้คือ...Gullfoss หรือที่ชาวไทยเรียกว่า น้ำตกสีทอง....ด้วยการ
แปลตรงๆ เพราะคำว่า Gull แปลว่าทอง ส่วน foss คือน้ำตกนั่นเอง....สถานที่แห่งนี้
ทางการเคยคิดทำเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำ แต่มีหญิงสาวผู้หนึ่งไม่เห็นด้วย...
ถึงขั้นกระโดดน้ำตกนี้เพื่อสังเวยชีวิตเป็นการต่อต้าน เราเลยได้เห็นความเป็นธรรมชาติ
ดั้งเดิมของเค้าจนถึงปัจจุบัน....

การเดินเข้าไปชมน้ำตกนี้ในระยะใกล้ควรเตรียมเสื้อกันฝนไปด้วย เพราะดิฉันไปครั้งแรก
ถึงกับเปียก และมันเป็นการทรมานมาก เพราะอากาศหนาวเย็นแม้จะเป็นหน้าร้อนก็ตาม....
น้ำตกสายนี้เกิดจากการละลายตัวของธารน้ำแข็งที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก  ปริมาณน้ำจึง
มีมากทั้งปี แม้จะเป็นในหน้าหนาวที่ผิวน้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งก็ตาม....ดิฉันเคยยอมเสี่ยง
ที่จะเดินทางมาในหน้าหนาวเพียงเพื่อจอดรถดูผิวน้ำตกเป็นน้ำแข็ง ยอมรับว่าสวยสม
กับที่ยอมเสี่ยงเดินทางมากันเลย....ที่ว่าเสี่ยงเพราะถนนหนทางในหน้าหนาวนั้นมักจะถูก
ปกคลุมด้วยหิมะ บางเส้นทางต้องปิดถนน หากไม้ปักบอกแนวถนนข้างทางโดนหิมะกลบ
จนมองไม่เห็น การขับรถก็อันตรายมาก ยกเว้นรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่เปลี่ยนใช้ยางที่มีตะปู
เพื่อตะกุยน้ำแข็งเท่านั้นที่จะฝ่าฟันเข้ามาได้....

บทความนี้เคยได้รับการตีพิมพ์ ใน Add Magazine แจกฟรีโดย ซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์


Blue Lagoon อันลือชื่อของไอซ์แลนด์


Gullfoss แปลเป็นไทยว่าน้ำตกทอง


Geysir น้ำพุร้อน


โบสถ์เล็กๆ ในอุทยาน Thingvillir


อุทยาน Thingvillir ที่เป็นเส้นแบ่งเขตทวีปยุโรปกับอเมริกา






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น