วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ไอซ์แลนด์ Lesson 4

ซัมเมอร์หนึ่ง อิฉันวางแผนการเที่ยวเกาะเล็กๆ ระหว่างไอซ์แลนด์
กับเกาะอังกฤษที่ชื่อเฟว์โรไอร์แลนด์ นัดหมายกับเพื่อนชาวอังกฤษ
ชื่อเควิน ว่าเราจะไปเที่ยวด้วยกัน แต่อุปสรรคก็มาถึง โดยสายการบิน
ที่บินจากไอซ์แลนด์ไม่สามารถบินได้ด้วยสภาพอากาศไม่ดี

รออยู่ 2 วัน ก็เลยต้องงดการเดินทางแต่เปลี่ยนแผนมาทัวร์รอบเกาะแทน
อิฉันติดต่อให้เควินที่รออยู่ที่เฟว์โรว่าไม่สามารถเดินทางได้ ถ้าต้องการ
เที่ยวด้วยกันก็ให้เดินทางมาไอซ์แลนด์แทน ซึ่งเควินก็รับทราบและขอเช็ค
flight บินก่อน

อิฉันโทรชวนสารถีคนเดิมและเพื่อนชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในไอซ์แลนด์
ให้ไปเที่ยวด้วยกัน เพราะเคยเดินทางด้วยกันหลายทริป ซึ่ง แวนซ์ ก็รีบรับ
ปากพร้อมกับบอกว่าจะขอพาแฟนสาวไปด้วย ซึ่งอิฉันก็ยินดี เพราะเจ้าเบ็นซ์
คันงามก็สามารถบรรทุกได้ถึง 5 คน 

เรื่องกฎหมายนั้นรับรองว่าคุณไม่มีทางฝ่าฝืนได้ง่ายๆ นะคะ เพราะหากเจอ
ตำรวจกรณีที่นั่งเกิน นอกจากจะถูกจับเพื่อปรับและหักแต้มแล้ว คนที่เกินจะ
ต้องลงจากรถโดยไม่มีข้อแม้ค่ะ  เรื่องนี้เกิดกับตัวเองที่บังอาจใช้รถคันเล็ก
โดยที่ไม่ได้ดูว่ารถเค้าให้บรรทุกแค่ 4 อิฉันดันนั่งกันไป 5 ตำรวจเรียกเพื่อจด
ชื่อสำหรับใบเรียกเก็บค่าปรับ แต่ที่น่าขบขันกว่านั้นแม้จะต่อรองกันอยู่เป็นนาน
คือ....ต้องลงหนึ่งคนหากจะขับต่อไป แม้อิฉันจะบอกว่า แค่ตึกข้างหน้าก็ไม่
ยินยอมค่ะ   ฝนก็ตกโปรยปราย  
"ถ้านั่ง 5 คนคุณห้ามเลื่อนรถอีก"
คำสั่งที่ออกมาจากเจ้าตำรวจหน้าจืด แล้วก็จอดรถนั่งเฝ้า  อิฉันต้องอยู่ในรถ
รอจนกว่าเพื่อนจะเอารถที่สามารถบรรทุกได้ 5 คนมาเปลี่ยน  ดูความซื่อตรง
ของตำรวจไอซ์แลนด์แล้วกันค่ะ  

อุปกรณ์การพักแรมทั้งหมด หม้อข้าวหม้อแกงก็ลงไปแอ้งแม้งอยู่ท้ายรถ อิฉัน
ขับรถไปรับโยเซฟหนุ่มสารถี และเลยไปรับแวนซ์กับแฟนสาว  และรีบออกเดิน
ทางกันแต่เช้าโดยทางหลวงหมายเลข 1 ขึ้นเหนือพร้อมทั้งแพลนการเดินทาง
ในรถว่าเราจะไปพักที่ทะเลสาบ Mývatn เป็นที่แรก แล้วค่อยคิดกันอีกทีว่าจะ
ไปไหนต่อ....


ดิฉันไม่เคยขาดเจ้าสิ่งนี้เลยสักครั้งเดียว

ด้วยทางหลวงหมายเลข 1 ซึ่งเป็นถนนสายเมนหลักและเป็นวงกลม
วนรอบเกาะได้  เราวนซ้ายไปลอดอุโมงค์ใต้ทะเลระยะทางประมาณ
6 กม.เพื่อย่นระยะทางเป็นร้อย กม.ทีเดียว ผ่านเมือง borganes และ
วกขึ้นเหนือ ผ่านเมืองใหญ่ทางเหนือชื่อ Akureyri (อคูเรย์รี่) แวะเก็บ
ภาพน้ำตกแห่งหนึ่งคือ Goðafoss 



สำหรับ Goðafoss เป็นน้ำตกที่มีชื่ออีกแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์ ที่อยู่
ในโปสการ์ด น้ำตกใหญ่แห่งนี้เป็นน้ำที่มาจากทะเลสาปเพราะน้ำจะใส
มาก (น้ำที่ละลายจากธารน้ำแข็งจะขุ่นข้น)  บางตอนที่กระทบโขดหิน
จะมองเป็นสีเขียวอมฟ้าสวยงามทีเดียว...

เราเดินเข้าไปชมส่วนที่สวยที่สุดของน้ำตกที่ตกลงหน้าผาที่ไม่สูงมากนัก
หากส่วนบนที่ไหลมากระทบกับโคกหินใหญ่ตรงส่วนกลางของหน้าผาแล้ว
แยกออกเป็นสองสายกว้างนั้น น่าชมยิ่งนัก...ดูแปลกตาจากน้ำตกทั่วไป



เต็มอิ่มกับการเก็บภาพน้ำตกสวย กับเวลาอีกไม่นานนักเพราะสองข้างทาง
ดึงดูดความสนใจในเวลาจนหมดสิ้น  เราก็ถึงจุดหมายปลายทางที่ทะเลสาป
Myvant เข้าจอดยังสถานที่สำหรับการวางเต้นท์ ไม่นานนักเราก็พร้อมที่จะ
จัดการหุงหาอาหารรับประทานอย่างขมักเขม้นเพราะว่าหิว.... 


โบสถ์เมือง Akureyri



เคยแต่เข้าป่า สภาพทำครัวเลยเป็นอย่างที่เห็น 



 กว่าจะเสร็จสรรพก็เย็น คุณโยเซฟไกด์คนดีบอกว่าจะพาเราไปอาบน้ำที่บ่อน้ำ
โบราณ เป็นน้ำอุ่นที่อยู่ไม่ไกลจากที่พักนัก..ว่าแล้วก็พร้อมใจกันกระโดดขึ้นรถ
ใช้เวลาประมาณ 10 นาที

หลังจากจอดรถอิฉันสังเกตุว่ามีนักท่องเที่ยวกำลังปีนป่ายขึ้นไปบนทิวเขาเตี้ยๆ
ที่ทอดเป็นแนวยาวอยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้างของสถานที่...เอ...มันเตี้ยเกินกว่า
จะเป็นทิวเขานี่นา..งั้นอิฉันขอขึ้นไปชมกันบ้างดีกว่า...

เมื่อลัดเลาะทางที่ไม่ค่อยชันมากนักขึ้นมาถึงจะพบว่า เป็นรอยแยกของแผ่นดิน
ที่ด้านล่างคงจะเป็นลำธาร และบางตอนน่าจะเป็นน้ำอุ่นเนื่องจากเห็นเป็นควัน
เล็ดลอดขึ้นมาตามรอยแยก ...


ปีนขึ้นมาชมด้านบน


มุดลงมาชมด้านล่าง



สำหรับรอยแยกนั้นก็ห่างพอสมควรในบางช่วง เพราะไม่สามารถกระโดดข้ามไปได้
นอกจากพวกกระโดดไกลเท่านั้น  ดูๆ แล้วไม่เห็นมีอะไรน่าแปลกจนถึงกะต้องมา
ปีนป่ายชมกันขนาดนี้  แต่เอาเถอะ เขาขายธรรมชาตินี่เนอะ เรายังเคยโดนพาไปดู
หินช้างสี ที่ขอนแก่นได้เลยนี่นา....อิอิ

ถึงตอนนี้ก็ถามหาบ่ออาบน้ำโบราณกันละว่ามันอยู่ส่วนไหน  โยเซฟ ไกด์สุดหล่อก็ชี้
ทิศทาง แล้วพากันเดินไปใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที ยังไม่ทันเหนื่อยเลยค่ะ...แต่มันอยู่
ไหนล่ะ.....เรามองเห็นแค่หินก้อนใหญ่ๆ กองโตอยู่ข้างหน้า พอเลี้ยวลัดอ้อมมาอีก
ทาง ก็ยังไม่เห็นเจ้าบ่อน้ำที่ว่า จนโยเซฟชี้ไปที่โพรงข้างหน้า  เดินไปชะโงกดูก็ยังไม่
เห็นอะไรมาก นอกจากบันไดลิงหยาบๆ ที่น่าจะไต่ลงไปได้ แลเห็นน้ำอยู่ด้านล่าง
ความลึกที่จะต้องปีนลงไปก็น่าจะประมาณ 4-5 เมตรเท่านั้น....แต่ก็เห็นอะไรไม่ชัดแจ้งนัก....

โอวววววววว พระเจ้า...นี่หรือบ่อน้ำโบราณ เกินความคาดคิดจริงๆ 55 ว่าแล้วโยเซฟ
กับ แวนซ์ พร้อมสาวน้อยชาวไอซ์แลนด์คนนั้นก็พากันเปลื้องเสื้อผ้า 2 หนุ่มน่ะไม่เหลือ
อะไรเลย ส่วนสาวน้อยเธอยังมีอันเดอร์แวร์ แล้วก็พากันปีนป่ายลงไป มีบันไดลิงให้ลง
ไปถึงน้ำด้วย...อ้าววว เหลืออิฉันคนเดียวที่ยังกระมิดกระเมี้ยน โธ่...สาวชาวไทยใจปลา
ซิวอย่างอิฉัน มีหรือจะกล้า...


มีบันไดลิงทำด้วยไม้ให้ไต่ลงไปได้


แต่เสียงท้าทายด้านล่างพร้อมกับคำเสียดสีให้เลือดไทยในกายเดือดพล่าน.. เอาวะ..
ไหนๆ ก็ไหนๆ ถึงใจจะปลาซิว และกลัวหน่อยๆ ก็ค่อยๆ เปลื้องเสื้อผ้าเหลือแต่อันเดอร์แวร์
อย่านึกภาพคนชราวัย 50 นะคร้า 55  

แล้วก็ต้องค่อยๆ ตะกายลงไปนึกอยู่ในใจว่ามันคงหนาวแน่ๆ ด้วยสภาพอากาศที่ค่อน
ข้างเย็น และนั่นคือน้ำนะคะ แถมไอร้อนก็ไม่เห็นมีแต่ก็ยังอยากลองว่าทำไมเค้าถึงลง
ไปยืนในน้ำกันอยู่ได้  แต่เมื่อแหย่ขาลงไป... มันอุ่นจริงๆ อุณหภูมิของน้ำก็คงประมาณ
30 องศาเซลเซียส เพราะค่อนข้างเย็นแต่ไม่ถึงกับทนอาบไม่ได้ อิฉันเลยได้แช่น้ำจน
สบายใจ สาเหตุเพราะพอลงมาข้างล่างแสงจากด้านบนก็ลอดลงมาพร้อมกับสายตาที่
ปรับสภาพกับความมืด อิฉันก็เริ่มจะมองเห็นรอบๆ ตัวอย่างลางๆ



ข้างล่างเป็นโถงกว้างประมาณ ตึกแถวห้องหนึ่ง เพดานสูง ส่วนระดับน้ำก็ลึกแน่ๆ เพราะ
อิฉันว่ายเล่นได้โดยเท้าเหยียบไม่ถึงพื้นด้านล่าง เว้นเฉพาะบริเวณที่ลงไปสามารถยืนได้
ระดับอก น่าจะเป็นก้อนหินใหญ่ๆ ที่วางอยู่ระดับลึกลงไปนั่นแหละค่ะ เป็นชานพักให้อิฉัน
ยืนสบายๆ อิฉันว่าน้ำในนี้น่าจะระบายได้เพราะส่วนที่โค้งเว้าลงมาดูเป็นอุโมงค์  น้ำน่าจะ
มีหนทางให้ไหลไป  และความรู้สึกก็เหมือนกับว่าน้ำจะไม่ได้อยู่นิ่งๆ แต่เป็นกระแสน้ำที่ไหล
ไปทางขวาเอื่อยๆ ไม่ถึงกับไหลแรง แสดงว่าต้องเป็นทางน้ำใต้ดิน

หลังจากสอบถามด้วยภาษาที่เข้าใจกันได้ดี คือภาษามือ โยเซฟก็บอกว่าอิฉันเข้าใจถูก
ต้องแล้ว เพราะน้ำนี้เป็นสายเดียวกับที่อิฉันไปชะโงกดูบนเนินเมื่อสักครู่นี่แหละ  สายน้ำ
ใต้ดินลอดมาผุดขึ้นใต้ผนังหินด้านซ้าย และจะไหลไปออกตรงทะเลสาบที่เราไปกางเต้นท์
พักกันอยู่นั่นแหละ... คนพื้นที่และไกด์เท่านั้นที่จะสนใจและรู้ถึงความมหัศจรรย์ตรงนี้ ....

หากความสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวคงน้อยนักหากเทียบกับสถานที่อื่นๆ  ก็เลยไม่ค่อยมีคน
มาชม....


ฉันเลยโอเคร!!!


อาบน้ำเล่นกันจนสบายตัวโดยไม่ต้องพึ่งพาสระว่ายน้ำให้เสียสตางค์ (250 โคลน่า น่าจะ
ประมาณ 60 บาท) เราก็ขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าไปหาเครื่องดื่มที่ทำให้ร่างกายอบอุ่นดื่มก่อน
กลับไปที่เต้นท์ข้างทะเลสาปที่เราไปเสียสตางค์กางเอาไว้พักแรมสำหรับค่ำคืนนี้....

เสียงโทรศัพท์ที่ปลุกอิฉันตอนเช้าทำให้ต้องตาลีตาเหลือกขึ้นมารับสาย...ปรากฎว่านาย
เควิน หนุ่มอังกฤษได้โทรเข้ามาบอกว่า จับเที่ยวบินที่จะบินมาได้แล้ว โดยเที่ยวบินมาลง
ที่เมือง Egilsstaðir เมืองใหญ่ทางตะวันออกของเกาะไอซ์แลนด์ซึ่งใช้เวลาจากเกาะเฟว์โร
แค่ชั่วโมงเดียว และเครื่องจะออกในสามชั่วโมงข้างหน้า  อิฉันต้องปลุกนายแวนซ์และสาว
น้อยคนงามขึ้นมาเพื่อจะเตรียมตัวเก็บของเดินทางไปรับเควินที่ Egilsstaðir

และเมื่อเก็บของตกลงกันเรียบร้อย กลับเป็นว่า เราต้องไปส่งสาวน้อยข้างกายนายแวนซ์ขึ้น
เครื่องกลับไป Reykjavík เพราะเธอไม่สามารถร่วมทริปยาวกับเราได้  โดยเราต้องขับย้อน
ไปส่งเธอที่ Akureyri แล้วก็ไปรับนายเควินกัน ซึ่งรวมเวลาส่งสาวน้อยและวกรถกลับไปรับ
เควินก็ได้เวลาเครื่องลงพอดี...

โยเซฟแพลนให้เควินรับทราบว่าเราจะไปเที่ยวเหนือขี้นไป และรับรองว่าทุกคนต้องชอบ...
และนี่คือจุดเริ่มต้นความประทับใจ...4 นักเดินทางต่างสัญชาติ อันมีไทย ไอซ์แลนด์
อเมริกันและอังกฤษ ...แต่คืนนี้เห็นทีต้องพักที่เมืองนี้เสียหนึ่งคืน เพราะว่าตอนนี้มันบ่ายแก่ๆ
ถ้าเร่งการเดินทางจะไม่สนุก....เสียงโยเซฟคนนำทางบอกเช่นนี้แล้วใครจะกล้าเถียง อิอิ  

หากสถานที่พักแรมตรงนี้ทำให้ดิฉันไม่เหงา ด้วยว่าได้เจอคนไทยที่รู้จักก็มาทริปกับนักขับรถ
โบราณ..บังเอิญจริงๆ  แต่ที่บังเอิญกว่านั้น ด้วยภาษาไทยที่เราคุยกันทำให้ได้เจอสาวน้อย
ที่มาใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดใกล้ๆ นี้อีกคนหนึ่ง...เธอมากับครอบครัวและจะเดินทางไปเรื่อยๆ
แบบค่ำไหนนอนนั่น ด้วยรถนอนแบบท่องเที่ยว...นี่แหละค่ะชีวิตของคนไอซ์แลนด์ในช่วง
ซัมเมอร์....


จุดพักแรม Egilsstadir


เควินและแวนซ์

เช้าต่อมาเราต้องเตรียมพร้อมกับการเดินทาง  โดยโยเซฟเอาแผนที่
ออกมากางให้เราดูเส้นทาง อธิบายว่าเราจะใช้เส้นทางที่ต้องข้ามเขา
เพื่อจะได้ไม่ต้องอ้อม  ชี้ๆๆๆๆ ให้ดู  เพื่อนร่วมเดินทางก็พยักหน้ากัน
หงึกหงัก เพราะไม่มีใครรู้จักเส้นทางสักคน....

หลังจากอุ่นท้องกันด้วยกาแฟ ขนมปังแล้วเราก็เริ่มเดินทางทันที  ...
ด้วยหนทางที่ไม่รู้จักมาก่อน ทำให้เราตื่นตาตื่นใจ แวะเที่ยวบ้านโบราณ
หลังหนึ่งที่ไม่น่าจะเป็นบ้าน  เรียกว่า คฤหาสน์จะดีกว่า ด้วยว่าใหญ่โต
สวยงามจริงๆ เห็นว่าบ้านหลังนี้อายุเป็นร้อยปีทีเดียว ยังคงใช้ฟืนสำหรับ
ทำความอุ่นภายในบ้าน


คฤหาสน์หลังใหญ่โตมโหฬาร 


เกมส์กีฬาของชาวไวกิ้งโบราณ ยกหินแข่งกัน ท่าดี...อึ๊บบบส์


ทีเหลว...ขอก้อนแรกแทนแล้วกัน เบาดี 555




ปัจจุบันกำลังดัดแปลงทำเป็นพิพิธภัณฑ์ จึงยังคงปิดเพื่อจัดข้าวของ
แต่เราก็ยังไม่วายแอบส่องและถ่ายรูปมาได้บ้าง....เดินวนรอบบ้าน เห็นผู้คน
กำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ไม่ห่างออกไปนัก ก็เลยเดินกันไปดู  กลายเป็นนัก
โบราณคดีที่กำลังแคะหินดินทรายเล่น  ได้ความว่าบริเวณนี้เป็นโบสถ์เก่า
ขุดพบของบางชนิดที่เค้าเอามาอวด แต่ดิฉันก็ยังมองไม่ออกอยู่ดีว่ามันคืออะไร.....





ถึงแม้จะชอบความเก่าและอยากรู้แต่เธอไม่ได้พูดภาษาอังกฤษค่ะ เลย
ไม่ได้เรื่องได้ราวว่า...สิ่งนั้นคืออะไร...ไปต่อกันดีกว่า....ขับรถข้ามห้วยข้าม
หนองกันไปอีกระยะหนึ่ง ก็พบว่ารถมาอยู่เชิงเขาใหญ่โตลูกหนึ่ง แต่ถนนมิใช่
ถนนลาดยางนี่...มองเหมือนดินซะมากกว่า เมื่อทอดสายตาขึ้นไป...โอววว
นี่เราต้องใช้เส้นทางนี้หรือนี่ ถนนที่เลื้อยพับไปมาจนถึงยอดเขานั้นมันดูสวยงาม
แปลกตา ทำให้นึกไปถึงเขาภูพานของบ้านเรา แต่นี่สูงใหญ่กว่ากันและเห็นยาว
ตลอดเส้นทาง...

ความสูงและมองเห็นตลอดจนถึงพื้นนี่แหละจะทำให้หวาดเสียวดี เพราะถ้าพลาด
หมายถึงรถคงจะกลิ้งรวดเดียวถึงตีนเขาได้เลย แล้วสภาพจะเป็นเยี่ยงไร 555

หลังจากขับขึ้นจนถึงที่พักตอนหนึ่ง อิฉันก็เรียกร้องให้หยุดรถเพื่อถ่ายภาพกัน
เสียหน่อย  ด้วยระหว่างทางที่ขับขึ้นมาอิฉันเห็นนักเดินทางที่ใช้จักรยานในการ
ข้ามเขาลูกนี้ กำลังปั่นจักรยายคู่ชีพขึ้นมา...ขอรอเก็บภาพน่ารักๆ แบบนี้ไว้ด้วย  

เมื่อขึ้นมาอยู่ด้านบนแล้วมองลงไป...เส้นทางที่ผ่านมาเปรียบดังอนาคอนดาที่
ทอดตัวเลี้อยไปมาสู่ยอดเขา ยิ่งมองยิ่งเพลินด้วยเป็นภาพที่วิเศษเหลือเกิน...  


ฝรั่งสามสัญชาติ


ถนนที่ทอดเลื้อยขึ้นมา 


ไม่ได้ลาดยางสักนิดเดียว


ในที่สุด เราก็เดินทางข้ามเขาลงมาถึงเมือง Vopnafjörður (คงอ่านประมาณ
วอฟนาเฟียดูร์ เฮ้อ..ช่างยากเย็นเสียจริงภาษาไวกิ้งเนี่ย...) มันก็เย็นย่ำแล้ว
เพราะเราเริ่มต้นวันกันสายมากๆ  เราพักขาหาขนมและเครื่องดื่มที่ปั้มน้ำมันเล็กๆ  
แต่เอ๊ะ...เค้ามีอะไรกัน...ทำไมเด็กๆ เต็มรถอีแต๋นที่กำลังวิ่งผ่านปั้มไป  สอบถาม
พนักงานที่ร้าน ได้ความว่า วันนี้เค้าจะมีแค้มป์ไฟกัน...นายแวนซ์ไม่รอช้ากระโดด
ขึ้นรถอีแต๋นทันที เพราะหมายความว่าเราต้องขับรถตามไปด้วย... เจ๋งจริงๆ
นายแวนซซซซซ์



เรามาถึงบริเวณแคมป์ไฟเมื่อเริ่มจุดกันแล้ว เอ..แล้วเขาเอาฟืนท่อนใหญ่ๆ นี่มา
จากไหนกันล่ะ...เอาอีกแล้วอิฉันกลายเป็นนักสอดรู้สอดเห็นอีกวาระหนึ่ง.....
หลังจากสอบถามก็ได้ความว่า ท่อนไม้พวกนี้จะลอยมาตามทะเล เอ้ย..มหาสมุทร
โดยลอยมาจากประเทศรัสเซีย แล้วมาเกยตามหาดทรายด้านเหนือของเกาะ
จำนวนมากมาย..

ในแต่ละปีช่วงซัมเมอร์ชาวบ้านก็จะไปลากมากองรวมกันแล้วก็เผาทิ้ง แต่เค้าก็
จะสนุกสนานกันด้วย  โดยมีการร้องเพลงเล่นกันอย่างสนุกสนาน...อิฉันอดไม่ได้
ที่จะเสียเวลาอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนกัน.....

สถานที่นั้นมีกองไม้ท่อนยาวๆ สุมกันลักษณะเหมือนเต้นท์อินเดียนแดง  คือไม้ตั้ง
ขึ้นแล้วพิงหากันเป็นสามเหลี่ยม กองใหญ่โตทีเดียว ใกล้ๆ กันก็จะมีรถดับเพลิง
เตรียมพร้อมสำหรับดับไฟให้เรียบร้อยก่อนแยกย้ายกันไปนอน  เรามองเห็นนัก
ดนตรีนั่งอยู่พร้อมแอคโคเดียนคู่ใจ  กำลังบรรเลงเพลงพื้นเมืองของไอซ์แลนด์  
ฟังจากโยเซฟแปลประมาณความรื่นเริงในหน้าร้อนที่ชาวบ้านมารวมตัวกัน ทำนอง
เดียวกับเพลงอีแซว เพลงฉ่อยบ้านเรานั่นแหละ....

เพลงที่ฟังแม้จะไม่รู้เรื่องแต่มันก็ไพเราะอย่างไม่น่าเชื่อเชียวละ...เพราะอะไรน่ะ
หรือ...ก็บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมทั้งหมดทำให้อบอุ่นและชื่นใจอย่างประหลาด...
อยากได้บรรยากาศลูกทุ่งฝรั่งแบบนี้บ้างไหมคะ...





ไม่ถึงเที่ยงคืนเราก็เดินทางมาถึง Þórshöfn ขับรถวนจนได้บริเวณที่สวยงามแห่งหนึ่ง
นามว่า Lampanes จุดนี้คือที่พักแรมถาวรของเราจนกว่าจะหมดทริปเที่ยวบริเวณนี้
กันเลย ระหว่างที่หนุ่มๆ ช่วยกันกางเต้นท์  อิฉันก็ต้องปรุงอาหารมื้อดึกที่บรรยากาศ
ประมาณ ห้า-หกโมงเย็น  พร้อมลากเครื่องดื่มดับความหนาวเย็นออกมารินแจกจ่ายกัน  
บรรยากาศดินเนอร์พร้อมสามหนุ่มริมทะเลกับกองไฟ มันช่างโรแมนติคเสียจริง 555





อากาศสดชื่นรื่นรมย์สำหรับเช้าวันใหม่ ทำให้ออกอาการขี้เกียจ  แต่คุณโยเซฟก็บอก
ว่ากรุณาหาอาหารเช้ารับประทานซะโดยเร็ว และเตรียมอาหารกลางวันด้วย เพราะเรา
จะไปปิคนิคที่หมู่บ้านร้าง แห่งหนึ่ง...ที่ชื่อ Skálar (สเกาลาร์) อยู่เกือบปลายแหลม
ของ Langanes ด้านตะวันออกของแผนที่

"เอ้า...ถึงแระ"...เสียงสั่งจากสารถีนามโยเซฟ หลังจากที่นั่งในรถกันมาไม่นานนัก....
อิฉันลงจากรถด้วยอาการ งง เป็นไก่ตาแตก ....แค่บ้านผุพังหลังเดียวกับซากเหล็กเก่าๆ
และขอนไม้ผุๆ ที่ลอยตามน้ำมาเกยตื้นเนี่ยนะ คือหมู่บ้านร้างที่อุตส่าห์พาเรามาดู...



 "เราต้องเดินไปอีกครับผม"  ...น่านนนนนนนนน โดนหลอกอีกแระ ว่าแล้วคุณผู้ชาย
ทั้งหลายก็หอบเป้หลังที่มีอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งอาหารกลางวัน ออกเดินนำหน้าอิฉันไป......

เดิน...เดิน...และเดิน...หนทางที่มองเห็นโล่งๆ น่าจะกินตาพอสมควรเพราะจุดหมาย
ที่โยเซฟชี้ให้ดูและบอกว่าอยู่ระหว่างช่องเขาข้างหน้านั้น ดูเหมือนไม่ไกล หากอิฉันก็
เดินไม่ถึงเสียที เดินขึ้นเนินบ้าง ลงเนินบ้าง  ค่อนข้างเมื่อยล้าพอสมควร  กว่าจะมา
ถึงบริเวณที่ได้รับการชี้บอกเมื่อสองสามชั่วโมงที่แล้ว ดีนะที่อากาศเย็น ไม่มีแดดร้อนๆ
ให้ลมจับ 

ในที่สุดเราก็มองเห็นทะเลเป็นฉากหลังอยู่ลิบๆ มีกำแพงบ้านเก่าๆ ให้เห็นสองสามหลัง  
ทุ่งหญ้าที่สูงไม่เกินข้อเท้า ผสมกับดอกหญ้าสีเหลืองและขาว ปนอยู่ประปรายในทุ่ง
เขียวขจี ....

หมู่บ้านนี้อยู่ในหุบเขาที่ด้านหน้าติดทะเล บ้านเรือนก็ปลูกอยู่เรียงรายตามเนินเขาเพราะ
ไม่มีพื้นราบ มีลำธารไหลรินตามซอกของระหว่างเนินเหล่านั้น   บรรยากาศแบบนี้ ...
เห็นแล้วชวนหลงไหลเสียจริงๆ  ไม่มีความวุ่นวายใดๆ  ไม่มีเสียงอึกทึกและฝุ่นควัน  
ธรรมชาติช่างทำให้จิตใจสงบดีจริงๆ...

หนุ่มๆ เริ่มภารกิจหาฟืนต้มน้ำชงกาแฟ ส่วนอิฉันต้องปรุงอาหารรับประทาน อันไม่มี
อะไรมากสำหรับอาหารฝรั่ง ขนมปังไงคะ อิอิ หลังจากอิ่มท้องและสอบถามถึงเส้นทาง
ที่เราเดินกันมา ได้คำตอบว่า จากจุดที่เราจอดรถมาถึงที่นี่เป็นระยะทางแค่ สามกิโลครึ่ง
แค่นั้นเอง.....

อิฉันนั่งพิงกำแพงบ้านเก่าหลังหนึ่ง  มองไปทางหน้าผาติดทะเลจะเห็นบ้านเล็กๆ สีส้ม...
ในนั้นเค้าจะมีอุปกรณ์ยังชีพ สำหรับเวลามีเหตุภัยต่างๆ เพราะห่างไกลผู้คนอย่าง
เหลือเกิน นายโยเซฟบอกว่า ส่วนใหญ่จะเป็นภัยทางทะเลเช่นเรืออัปปางและมีคน
รอดชีวิตมาบริเวณนี้ก็จะสามารถใช้อุปกรณ์เหล่านี้ได้ เช่นพลุสัญญาณ  



หลังจากรับทานอาหารกลางวันแล้วเราก็เริ่มเดินเก็บความรู้สึกดีๆ บริเวณนี้เอาไว้เป็น
กำไรของชีวิต...
ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เกิดในเมืองที่เต็มไปด้วยฝุ่น ควัน และความเร่งรีบในชีวิต จะได้มี
โอกาสมายืนสูดอากาศที่บริสุทธิ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ท่ามกลางบรรยากาศที่สงบ
เย็นสบาย แบบนี้...หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านประมงอย่างแน่แท้ ด้วยเห็นสัญญลักษณ์
การนำเรือเข้ามาจอด โดยเป็นป้ายลูกศรใหญ่ๆ สองป้ายที่ชี้หากันเป็นแนวทางให้เรือ
ที่อยู่ห่างไกลได้สังเกตุร่องน้ำในการนำเรือเข้าเทียบท่าด้วย....

เราเดินเลาะบริเวณหน้าผา  ที่เป็นขอบของแผ่นดินขั้วโลกเหนือ  ตลอดแนวสุดลูกหู
ลูกตาทั้งซ้ายและขวา  พบเห็นนกนาๆ ชนิด พักอาศัยตามหน้าผา โดยเฉพาะ puffin
นกสัญญลักษณ์ของขั้วโลก ปากสีแดงสด รูปลักษณ์เหมือนเพนกวิน เรานั่งมองเค้า
หากินโดยการบินพุ่งตัวลงในน้ำ สักพักก็กลับขึ้นสู่ผิวน้ำพร้อมกับปลาตัวเล็กๆ ในปาก..
เก่งจริงนะตัวแค่เนี้ยะ... 

อิฉันใช้เวลาหมดไปกับการนั่งชมวิวทิวทัศน์จนนายโยเซฟต้องเตือนว่าควรจะกลับ
กันได้แล้วเพราะเราต้องเดินกลับกันอีก เฮ้อ..หลงเวลาอีกแล้ว ก็เพราะท้องฟ้ามัน
ไม่มืดเหมือนหน้าหนาวน่ะสิ...






 ช่วงซัมเมอร์โดยเฉพาะมิถุนายน พระอาทิตย์จะไม่มีลับขอบฟ้านั่นหมายถึงว่า
ถ้าเรานั่งอยู่ตรงนี้เราจะเห็นพระอาทิตย์เดินทางลงแตะขอบน้ำแล้วยกตัวขึ้นโดยไม่
ลับหายไปจากสายตาเลย....

" นี่แค่ทริปย่อยๆ เพื่อชิมลางว่าพรุ่งนี้เราจะเดินกันไหวหรือเปล่า "....นายโยเซฟทิ้ง
ปริศนาไว้แต่เพียงเท่านี้... แม้จะเพลียกับการเดินและน้ำร้อนที่เราลงแช่ในเมืองก่อน
ที่จะแวะหาอะไรรับทาน...เมื่อเห็นเต้นท์ที่ลู่อยู่กับพื้นเพราะแรงลมแล้ว เราก็ตื่นตัว
ทันที แม้พวกผู้ชายจะช่วยกันดึงๆ ดันๆ เต้นท์ให้ยกขึ้นมาเข้ารูปเข้ารอยเดิมแล้ว
ก็ตาม  แต่....ถ้าคืนนี้ลมแรงจนเต้นท์ลู่นี่เราจะทำอย่างไรกัน....เฮ้ออออ ให้ถึงเวลา
นั้นก่อนค่อยแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันไปก็แล้วกัน....




พระอาทิตย์เที่ยงคืน


 ตื่นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เสียงตะโกนปลุกของนายโยเซฟกำลังมุ่งมาที่เต้นท์ของอิฉัน ...
ฉะนั้น...ทางที่ดีคือ...รีบมุดออกจากเต้นท์ก่อนที่พี่แกจะมาแหวกเต้นท์เข้าไปลาก
อิฉันออกมา ใช้เวลา ล้างหน้าแปรงฟันอย่างเร่งรีบเพราะคุณท่านทั้ง 3 กำลังกิน
กาแฟที่หอมกรุ่นพร้อมทั้งขนมปังปิ้งกับไส้กรอกย่าง พอเห็นอิฉันเดินมาถึง แวนซ์
และเควินก็รีบช่วยกันประเคนทั้งน้ำส้ม ขนมปังและเครื่องบำรุงไขมันทั้งหลายให้
อิฉันอย่างพร้อมเพรียงด้วยเหตุผลว่า เย็นนี้ขอดินเนอร์ด้วยบาร์บิคิว ...ติดใจจาก
ซัมเมอร์ที่แล้วสิท่า.... 

วันนี้ต้องขับรถไปไกลหน่อย แต่โยเซฟบอกว่าเมื่อได้เห็น พวกคุณจะชอบและรักมัน
เพราะ Rauðanes เป็นบริเวณหนึ่งที่นักท่องเที่ยวมาที่นี่กันปีละมากๆ งั้นเราไปกัน
เถอะ..แซนวิส..คืออาหารกลางวันที่เราเตรียมไปพร้อมน้ำดื่มคนละ 2 ขวด อ้อ...
ský อีกคนละกระปุก... ลืมบอกไปเจ้าสกีร์ นี่เป็นเหมือนโยเกิตแต่อร่อยที่สุดเท่าที่
เคยกินมาเชียว มีขายแต่ที่ไอซ์แลนด์เท่านั้นนะคะ .. 

ใช้เวลาไม่นานนัก พร้อมทั้งเดินมาอีกนิดหน่อย เราก็ได้พบสถานที่มหัศจรรย์อย่าบอก
ใครเชียว โยเซฟบอกว่าบริเวณนี้คือพื้นที่ที่มีลาวาร้อนๆ ไหลมาจากการระเบิดของ
ภูเขาไฟใกล้ๆ นี้เมื่อนานมาแล้ว เมื่อไหลลงสู่ทะเล ความร้อนพบกับความเย็น ก็เลย
ได้ลาวาที่มีรูปทรงแปลกตาเยอะแยะไปหมด และช่วงที่สวยงามมากที่สุดก็คือช่วง
ซัมเมอร์นี่เอง.... 

ริมหน้าผาตัดนั้น เราจะเห็นปฏิมากรรมในทะเลด้วยแท่งหินรูปทรงแปลกตา เรียงราย
เป็นระยะๆ สุดลูกหูลูกตา ความสวยงามที่อิฉันทั้งวิ่ง และเดินไปเดินมาเพื่อให้ทั้ง
โยเซฟและแวนซ์รวมทั้งเควินช่วยถ่ายรูปให้ ทำให้ลืมระยะทางไปเลย มารู้สึกตัวอีก
ทีก็เมื่อมาสุดทางแล้วมองย้อนกลับไป...โอว...รถเรามันอยู่ส่วนไหนของประเทศเนี่ย...
แล้วยิ่งมองนาฬิกา...เราใช้เวลาไปถึง 4 ชั่วโมงในการเก็บความสุข ณ ที่นี้...มันช่าง
คุ้มค่าจริงๆ  













เราแวะพักทานน้ำและของว่างที่ตระเตรียมมา ก่อนเดินกลับด้วยทางรถวิ่ง โดยไม่
ย้อนทางเดิม ด้วยว่ามันจะทำให้อ้อมและเสียเวลาจนเกินไป  ระหว่างทางเราพบ
แกะมากมายเดินหากินอยู่ทั่วไป.....ซึ่งแกะเหล่านี้ช่วงซัมเมอร์ฟาร์มต่างๆ เค้าจะปล่อย
แกะออกให้หากินเองตามเขาเพราะหญ้าจะขึ้นอยู่ทั่วไป จนหมดซัมเมอร์จะเป็นช่วง
เวลาที่อิฉันอยากจะสัมผัส นั่นคือกิจกรรมขี่ม้าออกต้อนแกะและมีสุนัขที่เลี้ยงเพื่อ
ต้อนแกะโดยเฉพาะ  โดยทุกฟาร์มจะรวมกันเป็นคณะใหญ่แล้วแยกย้ายกันต้อนมา
บริเวณคอกรวม หลังจากนั้นก็จะคัดจากเบอร์ที่ติดไว้ที่หู บางตัวก็จะกลับมาพร้อม
ลูกน้อย น่าสนุกจริงๆ

กลับถึงแค้มป์เย็นมากแล้ว แต่เนื้อที่หมักไว้ตั้งแต่ตอนเช้าก็นุ่มเข้าเนื้อได้อย่างพอดิบ
พอดี ใช้เวลาเสียบและย่างในระยะเวลาที่สั้น เราสี่ชิวิตก็ได้รับประทานอาหารเย็นกัน
อย่างอร่อยลิ้นโดยไม่ต้องมีใครมาช่วยชิมเลย เนื้อ 2 กก. พร้อมไวน์แดงอีก 2 ขวด
หมดไปในระยะเวลาอันสั้น ไม่น่าเชื่อว่ากินกันเข้าไปได้อย่างไร......



คืนสุดท้ายของมิตรภาพสี่สัญชาติจบลงด้วยการร่วมกันร้องเพลง และแต่ละคนต้อง
ร้องเพลงของบ้านตัวเอง เจ้าฝรั่งขายาวอเมริกัน ร้องเพลง country คุ้นหูของจอนห์
เดนเวอร์  ส่วนเควิน หนุ่มอังกฤษร้องเพลงไอริชน่าฟัง และไกด์โยเซฟร้องเพลง
Think of angle ไม่ใช่เพลงภาษาไอซ์แลนด์ แต่แต่งโดยนักร้องไอซ์แลนด์ ฟังแล้ว
ชวนขนลุกและเป็นสัจจธรรมของชีวิต โดยคนแต่งเค้าแต่งให้น้องถึงน้องที่ตายไปแล้ว
และสัญญาว่าจะเจอกันอีกครั้งเมื่อถึงเวลาของตัวเอง....

อิฉันรู้จักเพลงนี้เพราะเคยฟังในโบสถ์เมื่อคราวไปงานศพของคนรู้จักและหลงรักเพลง
นี้โดยบังเอิญ เมื่อมาได้ฟังร้องสดๆ ในบรรยากาศเงียบๆ เย็นๆ หน้ากองไฟ มันได้
อารมณ์และซาบซึ้งจริงๆ  ส่วนเพลงไทย อิฉันก็เบรคความเศร้าด้วยเพลง วิหกเหิรลม
ที่ร้องได้อย่างช่ำชอง.....เอ่อ...ขออนุญาตอย่าเดาอายุจากการเลือกร้องเพลงเลยนะคะ
เพราะมันฟ้องอย่างเต็มเปา 555.....

หลังจากนั้นก็ได้ฟังเรื่องเล่าฮาๆ แบบเพื่อนฝูง ในบรรยากาศสบายๆ ใกล้กองไฟ
และมิตรภาพที่วนเวียนอยู่ข้างๆ ตัว.....วันคืนเหล่านี้หาได้ไม่ยาก หากคุณไขว่คว้า
หามันมาครอบครองได้โดยไม่จำกัดสถานที่และเวลา......


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น